หนังอินเดีย ภาพยนตร์อินเดีย หรือ ที่รู้จักในชื่อ บอลลีวู้ด (Bollywood) (หมายถึง ฮอลลีวู้ดแห่งบอมเบย์) ในแต่ละปี อุตสาหกรรมบอลลีวู้ด ผลิตภาพยนตร์ออกสู่ตลาดมากที่สุดในโลกประมาณ 800-1,000 เรื่อง โดยในแต่ละวัน ชาวอินเดียจะซื้อตั๋วเข้าไปหาความบันเทิงตามโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศราว 10 ล้านคน และจากชาวอินเดียที่กระจายอยู่ทั่วโลกอีกประมาณ 20 ล้านคน ทั้งนี้ยังมีชาวต่างชาติที่นิยมชมภาพยนตร์อินเดีย ซึ่งมีให้ชมทั้งในเอเชีย ประเทศไทย ตะวันออกกลาง แอฟริกา ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน สเปน ฟิจิ หรือแม้แต่รัสเซีย หนังอินเดียยุคใหม่ช่วงแรกสามารถนับได้ว่าเป็นในช่วงปี ค.ศ. 1990-1995 ภาพยนตร์บอลลีวู้ดส่วนใหญ่ มักนำเสนอเรื่องราวความรักที่ต้องผ่านอุปสรรคและการเสียสละ ก่อนที่จะจบลงด้วยความสมหวังหรือผิดหวัง ในแบบที่ต้องเดาว่าตอนจบนั้นเป็นอย่างไร หรือจะเรียกว่า ไคลแม็กส์ของหนังบอลลีวู้ดในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ เป็นจุดคลี่คลายเนื้อหาทั้งหมดของเรื่อง ความน่าตื่นตาตื่นใจของ หนังบอลลีวู้ดในระยะนี้ คือ การที่คนเขียนบท สามารถคลี่คลายตอนจบ ได้นับร้อยนับพันวิธี เท่าที่ผู้เขียนได้เคยดูหนังมา ยังไม่พบตอนจบของหนังเรื่องใดที่ซ้ำกันเลย ทั้ง ๆ ที่แนวเรื่องอาจจะคล้าย ๆ กันบ้างในบางเรื่อง อาจจะเรียกว่า หากตอนจบเป็นจุดไคลแม็คส์ของหนัง เราดูแล้วประทับใจ เราก็แทบจะไม่เชื่อแล้วว่าจะมีจุดจบของหนังที่แตกต่าง หรือ ดีไปกว่านี้อีก แต่หากคุณมาดูหนังอินเดียจะพบว่า ตอนจบเขาทำออกมาได้หลากหลายมาก ๆ เสมือนกับการ มองไปที่แหวนเพชรในตู้โชว์ ซึ่งอาจจะดูผ่าน ๆ แล้วเหมือนกัน แต่พอหยิบเอามาสวมแล้วกลับมีเสน่ห์ ดึงดูดต่าง ๆ กันไปในแต่ละวง นั่นเอง
หนังในช่วงปี ก่อน ค.ศ. 1990 นับได้ว่าเป็นหนังอินเดียยุคเปลี่ยนผ่าน นั่นคือ เปลี่ยนจากหนังอินเดียแบบดั้งเดิม เข้าสู่ยุคใหม่ ซึ่งยากต่อการระบุว่า เริ่มขึ้นเมื่อใด เพราะตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985 เป็นต้นมา เริ่มมีแนวการสร้างหนัง หลากหลายมากขึ้น คุณภาพการถ่ายทำที่หลากหลาย และผู้กำกับหน้าใหม่ก็เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจอาจจะกำหนดให้ละเอียดลงไปได้ว่า ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1985 -1990 นี่ล่ะคือยุคที่เริ่มมีการเปลี่ยนผ่านขึ้นมาจริง ๆ โดยถือว่าปี 1985 เป็นช่วงเริ่มต้น ของดาราหน้าใหม่ประจำยุคร่วมสมัยกับพวกเรา เช่น การแสดงหนังเรื่องแรกของดาราผู้มากความสามารถอย่าง Govinda จากหนังเรื่อง Ilzaam ในปี 1986 เขาเป็นพระเอกที่แสดงได้หลากบทบาท ความสามารถสูง โดยเฉพาะหนังแนวตลก ซึ่งในขณะนั้น พระเอกอย่าง Jackie Shroff, Anil Kapoor กำลังอิ่มตัวพอดี พอเข้าปี 1988 ดาราทองอีกคนของยุคร่วมสมัยก็กำเนิดขึ้น ซัลมาน ข่าน จากหนังเรื่องแรกของเขา Biwi Ho To Aisi จะเรียกว่า ซัลมาน ข่าน คือผลผลิตจากยุคเปลี่ยนผ่านก็เป็นได้ เพราะปัจจุบันยังมีงานแสดงอย่างต่อเนื่อง ปี 1991 หนังเรื่อง Phool Aur Kaante เปิดตัวพระเอกใหม่ อะเจย์ เดฟกัน ปี 1992 หนังเรื่อง Bekhudi เปิดตัวนางเอกที่จะมาเป็นราชินีบอลลีวู้ดในยุคเปลี่ยนผ่าน คือ คาโจล หนังเรื่อง Deewana ได้สร้าง ดาราหน้าใหม่ นาม Shah Rukh Khan ให้มาเป็น ราชา บอลลีวู้ด คนปัจจุบัน หนังเรื่อง Parampara มอบดาวทองให้กับวงการบอลลีวู้ดอีกคนคือ Saif Ali Khan ปี 1993 หนังเรื่อง Baazigar ทำให้ Shahrukh Khan ได้รางวัล Filmfare Best Actor
คำนี้มักใช้เพื่ออธิบายภาพยนตร์ อินเดีย โดยรวม แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมายถึง ภาพยนตร์ภาษา ฮินดีเท่านั้น คำว่าบอลลีวูดเป็นการรวม คำระหว่าง เมืองบอมเบย์ (ที่เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ฮินดีส่วนใหญ่) และฮอลลีวูด (ที่เป็นสถานที่ ถ่ายทำภาพยนตร์ อเมริกัน ส่วนใหญ่ ) 10 อันดับนักแสดงบอลลีวูดยอดนิยมอ่าน ย้อนหลังเมื่อ 2023-01-18 ที่เวย์แบ็กแมชชีน บอลลีวูดสร้างภาพยนตร์หลายเรื่องในแต่ละปี ภาพยนตร์บอลลีวูดหลายเรื่องเรียกว่าภาพยนตร์มาซาลา ในภาษาฮินดี มาซาลาแปลว่าเครื่องเทศ ภาพยนตร์เหล่านี้มักมีเนื้อหาเกี่ยวกับอารมณ์ เพลง การแก้แค้น และความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน
[read more]
หนังอินเดียไม่เพียงแต่เป็นความบันเทิงที่น่าตื่นเต้น แต่ยังเป็นประตูสู่วัฒนธรรมอันหลากหลายของอินเดีย ด้วยประวัติศาสตร์ยาวนานและมรดกทางวัฒนธรรมอันอุดมสมบูรณ์ หนังอินเดียจึงเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจและน่าค้นหาไม่ว่าจะเป็นหนังรัก หนังตลก หนังประวัติศาสตร์ หรือหนังร่วมสมัย ทุกประเภทล้วนสะท้อนความเป็นอินเดียอย่างแท้จริง เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมหนังของชาวอินเดียนั้น ถูกเรียกกันว่าหนัง Bollywood จริงๆ แล้วมันมีจุดเริ่มต้นครั้งแรกในมุมไบ หรือที่เรียกจักกันดีในเมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย ซึ่งที่มาของมันก็มาจากการผสมชื่อระหว่างชื่อเมืองบอมเบย์ เข้ากับ ฮอลลีวูด จนกลายเป็น “บอลลีวูด” นั่นเอง เพราะต้องการแสดงให้เห็นว่าเป็นหนังที่สร้างในบอมเบย์ โดยชาวอินเดีย โดยเป็นส่วนหนึ่งของวงการภาพยนต์ของอินเดียที่เรียกกันว่า “อินดีวูด” เป็นศูนย์การสรรค์สร้างภาพยนต์ทุกชนิดของชาวอินเดีย โดยปกติแล้วภาษาที่นักแสดงจะใช้พูดกันในภาพยนต์ฉบับบอลลีวูดนะ จะเป็นภาษาประจำท้องถิ่นอย่าง ภาษาฮินดู – อูรดู หรือ ฮินดูสตานี ปัจจุบันนี้มีการพัฒนาเพิ่มองค์ประกอบภาษาต่างๆ ให้มีความหลากหลาย ทันสมัย และเข้าใจได้ง่ายขึ้น
วงการภาพยนต์ของอินเดียนั้น จัดเป็นวงการบันเทิงขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ในปี 2017 มีการสร้างภาพยนต์ออกมาทั้งหมด 1,986 เรื่อง โดยประกอบไปด้วยภาพยนต์บอลลีวูด 364 เรื่อง คิดเป็นรายได้ประมาณ 43% จากรายได้สุทธิ ในขณะที่ 36% ตกเป็นรายได้ของภาพยนตร์ภาษาทมิฬ ถือเป็นวงการหนังที่ทำรายได้สูงของอันดับต้นๆ ของโลก จากหลักฐานต่างๆ เช่นรายได้จากยอดขายตั๋วชมภาพยนต์ที่ขายในปี 2001 รวมยอดแล้วมากถึง 3.6 พันล้านใบ เมื่อเทียบกับหนังฮอลลีวูด ที่ขายตั๋วภาพยนต์ได้ 2.6 พันล้านใบทั่วโลก มากกว่ากันถึง 1 พันล้านใบเลยทีเดียว ไม่ธรรมดาเลยใช่ไหมล่ะ จุดเริ่มต้นความรุ่งเรืองของวงการบันเทิงอินเดียนั้น เริ่มต้นขึ้นจากภาพยนตร์เรื่อง Raja Harishchandra ที่ฉายในปี 1913 โดยชายชื่อ Dadasahed Phalke ถือเป็นหนังเงียบเรื่องแรก (Silent Film) ที่ถูกสร้างขึ้นโดยอินเดีย เมื่อเข้าสู่ปี 1930
เป็นช่วงที่วงการอุตสาหกรรมบันเทิงเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว สามารถสร้างหนังได้ 200 เรื่องในทุกๆ ปี หนังเรื่องแรกที่มีเสียงประกอบนั้น คือเรื่อง Ardeshir Irani’s Alam Ara ฉายเมื่อปี 1931 มันประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทำให้วงการหนังเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากการเข้าสู่ยุคภาพยนตร์ที่มีเสียงประกอบร่วม นับตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมาถือเป็นยุคที่หนังบอลลีวูดกลับมาโด่งดังทั่วโลก จากการมีนักแสดงยอดเยี่ยม 3 คนที่ได้รับฉายาว่า Three Khans ประกอบไปด้วย Aamir Khan, Shah Rukh Khan และ Salman Khan ถือเป็นดาราที่มีค่าตัวและรายได้สูงติดใน 10 อันดับของบอลลีวูด โดยเริ่มสร้างชื่อเสียงมาตั้งแต่ 1980 ถ้านับเรื่องว่าใครรวยกว่าแล้ว Shah Rukh Khan นั้นมีรายได้สูงที่สุดในบรรดานักแสดงในปี 1990 – 2000 แต่เมื่อเข้าปี 2000 ตำแหน่งตกเป็นของ Aamir Khan ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นดาราที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของปี 2017 เมือดูจากความนิยมอย่างมากจากแฟนๆ ชาวอินเดีย และประเทศจีน
ถ้ากล่าวถึงเมือง “มายา” สหรัฐอเมริกามีเมือง ฮอลลีวูด ผลิตภาพยนตร์ออกฉายทั่วโลก อินเดียก็มีเมืองบอลลีวูด (BOLLYWOOD) เหมือนกัน ผลิตภาพยนตร์อินเดียออกฉายทั่วอินเดีย และยินดีขายให้กับทุกประเทศที่อยากซื้อ บอลลีวูด จะเกิดแต่ปีใดก็ไม่ทราบได้ แต่ผมมาทราบนิคเนมนี้ก็เมื่อได้มีโอกาสไปเมืองบอมเบย์ เมื่อปี 2003 ขณะนั้นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอินเดียคงต้องมีระดับผลงานเป็นเพชรน้ำเอกเหมือนกัน เพราะมีโอกาสเข้าขั้นถึงการประกวดในงานประกวดภาพยนตร์ประจำปีที่เมืองคานส์ ฝรั่งเศส แต่ภาพยนตร์อินเดียสมัยเมื่อ 40-50 ปีก่อนนี้ คนไทยรู้จัก และเรียกกันว่าหนังแขกส่วนโรงหนังในกรุงเทพ ฯ ที่ฉายหนังแขกล้วนๆ ก็อยู่ในตรอกแปลงนาม อันเป็นซอยเล็กในย่านสามแยกเจริญกรุง ใกล้กับโรงหนังบรอดเวย์ และศาลาเฉลิมบุรีเรียกว่าโรงหนังเทกซัส
ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดีย สิ่งที่เรียกว่า Bollywood คืออุตสาหกรรมภาพยนตร์ภาษาฮินดีที่มีศูนย์กลางที่เมืองมุมไบ รัฐมหาราษฏระ (Maharashtra) ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมา มันถูกนับว่าเป็นตัวแทนของ ‘หนังอินเดีย’ เพราะผลิตหนังมาเยอะสุด และหนังภาษาฮินดีพวกนี้รายได้กินไปราวๆ 40 เปอร์เซ็นต์ของอุตสาหกรรมหนังอินเดียทั้งประเทศ อย่างไรก็ดี อินเดียเป็นประเทศที่คนใช้ภาษาหลากหลายมาก และเป็นประเทศที่ไม่มีภาษาประจำชาติ ขณะที่การปกครองแบบสหพันธรัฐก็ให้อิสระกับรัฐต่างๆ สูง ดังนั้นภาษาราชการในแต่ละรัฐจึงไม่เหมือนกัน และภาษาฮินดีก็เป็นภาษาที่มีใช้กันไม่ถึง 10 รัฐด้วยซ้ำ (อินเดียมี 28 รัฐ และใช้ภาษาฮินดีเป็นภาษาราชการแค่ 9 รัฐ) ซึ่งถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ ภาษาฮินดีคือภาษาของ ‘คนเหนือ’ หรือพวกอินเดียเหนือ แต่พวก ‘คนใต้’ จะไม่ใช้ภาษาฮินดี
และถ้าเราพอรู้ อินเดียเหนือกับใต้ในภาพรวมมีความต่างกันมากทั้งภาษาและวัฒนธรรมในปัจจุบัน ซึ่งถ้าจะให้ลงลึกไปในประวัติศาสตร์ คนอินเดียเหนือคือคนอินโด–อารยัน ที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกันภายใต้จักรวรรดิใหญ่ๆ ซึ่งจักรวรรดิพวกนี้จะไม่แผ่มาถึงทางใต้ ซึ่งทางใต้ก็จะมีพลวัตทางการเมืองของตัวเองภายใต้จักรวรรดิของคนดราวิเดียนอย่างโจฬะ เจนละ และปัณฑยะ กล่าวอีกแบบคือ อินเดียเหนือกับใต้ในอดีตเป็น ‘คนละประเทศ’ กันเลย และมันเพิ่งมาเป็น ‘ประเทศเดียวกัน’ เมื่ออังกฤษเข้ายึดตอนกลางในศตวรรษที่ 19 และด้วยประวัติศาสตร์และวิถีที่ต่างกันแบบนี้เอง ก็เลยทำให้คนอินเดียเหนือกับใต้มีความ ‘เขม่น’ กันอยู่กลายๆ (ก็คงคล้ายๆ คนอิตาลีเหนือกับใต้ หรือคนคันไซกับคนคันโตของญี่ปุ่น)
ในขณะที่คนอินเดียเหนือมีจุดร่วมกันที่การใช้ภาษาฮินดี คนอินเดียใต้กลับมีความแตกต่างหลากหลายทางภาษากว่ามาก โดยคนอินเดียใต้แต่ละรัฐจะมีภาษาของตัวเองที่ต่างกันเกือบหมด ถ้าจะพูดถึงแค่รัฐใหญ่ๆ ก็เช่น รัฐกรณาฏกะ (Karnataka) ก็ใช้ภาษากันนาดา รัฐอานธรประเทศ (Andhra Pradesh) กับ รัฐเตลังคานา (Telangana) ใช้ภาษาเตลูกู รัฐทมิฬนาฑู (Tamil Nadu) ใช้ภาษาทมิฬ เป็นต้น ตรงนี้เวลาเราพูดถึงรัฐในอินเดีย ขนาดของมันอาจเทียบเท่าประเทศหนึ่งได้เลย เช่น รัฐทมิฬนาฑู มีประชากรมากกว่าไทย (ซึ่งไทยคือประเทศที่มีประชากรระดับ Top 20 ของโลก) 2 รัฐที่ใช้ภาษาเตลูกู มีประชากรรวมกันก็มากกว่าไทย และการที่มีกลุ่มประชากรใช้ภาษาร่วมกันแบบนี้ มันก็เลยทำให้เกิดตลาดเฉพาะของภาษาพวกนี้
ดังนั้นจึงทำให้เกิดตลาดภาพยนตร์ในภาษาต่างๆ และจริงๆ แทบทุกรัฐทางใต้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาฮินดีก็มีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของตัวเองเกือบหมด แต่ที่ใหญ่สุดมันคือ Kollywood (อุตสาหกรรมภาพยนตร์ภาษาทมิฬ) และ Tollywood (อุตสาหกรรมภาพยนตร์ภาษาเตลูกู) ซึ่งสองเจ้านี้รายได้รวมกันมันพอฟัดพอเหวี่ยงกับ Bollywood (และจริงๆ ก็ยังมีอุตสาหกรรมหนังอีกหลาย Wood เช่น หนังภาษากันนาดาก็จะเรียกว่า Sandalwood หนังภาษามลยาฬัมก็จะเรียก Mollywood เป็นต้น) ทีนี้ถ้าไปดูหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของอินเดีย ณ ปัจจุบัน เราก็จะพบว่ามันมีแค่ 5 เรื่องเท่านั้นที่เป็นภาษาฮินดี (Dangal, Bajrangi Bhaijaan, Secret Superstar, PK และ Sultan) อีก 4 เรื่องเป็นภาษาทมิฬและเตลูกู (Baahubali: The Beginning, Baahubai: The Conclusion, RRR และ 2.0) อีก 1 เรื่องคือเป็นภาษากันนาดา (K.G.F: Chapter 2) ดังนั้น ในตอนนี้หนังทำเงินตลอดกาลของอินเดียครึ่งหนึ่งเป็นหนังอินเดียเหนือ อีกครึ่งเป็นหนังอินเดียใต้
และที่โหดคือ นี่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ เพราะสมัยก่อนสุดยอดหนังทำเงินอินเดียคือหนังภาษาฮินดีจาก Bollywood ล้วนๆ แต่ในรอบ 5 ปีหลัง หนังจากภาษาอื่นๆ ในอินเดียพาเหรดเข้าติด Top 10 กันเป็นแถว นี่เลยทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า วิวาทะหนังอินเดียเหนือ VS ใต้ ขึ้นมา คือจะมีคนที่บอกว่าเบื่อหนังแนว Bollywood แล้ว และหนังสไตล์อินเดียใต้นี่แหละคืออนาคตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดีย นอกจากนี้ ‘หนังอินเดียใต้’ ที่ดังๆ ส่วนใหญ่คือ แนวบู๊แอ็คชั่น ล่าสุด RRR ที่ฉายใน Netflix ใครดูก็บอกบันเทิงทั้งนั้น แต่ถ้าใครตามหนังอินเดียมานานๆ ก็คงจะจำหนังหุ่นยนต์แอ็คชั่นไซไฟไซบอร์กสุดคัลต์อย่าง Enthiran จากปี 2010 ได้ ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดในปีนั้น และมันเป็นหนังภาษาทมิฬ
และจริงๆ ถ้าเราช่างสังเกตหน่อย เราจะดูรู้เลยว่าเรื่องไหนคือ ‘หนังอินเดียใต้’ จากโปสเตอร์ คือพวกหนังภาษาทมิฬและเตลูกู โปสเตอร์พวกหนังแอ็คชั่นมันก็จะโฟกัสพระเอก และพระเอกก็จะดูเท่สุดๆ แบบดูจากโปสเตอร์ก็รู้ว่าเป็นนักบู๊ที่เก่งแบบหลุดโลก (และดูในหนังก็จะรู้ว่ายังเก่งได้มากกว่านั้นอีก) และตรงนี้ก็อยากจะเน้นว่าอินเดียใต้ไม่ได้ผลิตแต่หนังแอ็คชั่น หนังแนวอื่นก็มี แต่ที่มันดังระดับประเทศเป็นบล็อคบัสเตอร์ฉายทั่วอินเดียคือหนังแอ็คชั่นแทบจะล้วนๆ คนอินเดียเองก็เลยมักจะจำว่าหนังอินเดียใต้คือหนังแอ็คชั่นมันๆ เว่อร์ๆ (คงคล้ายๆ นานาชาติจำว่าหนังไทยคือหนังผี ทั้งที่จริงๆ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยก็มีหนังหลากหลาย แต่ที่โกอินเตอร์รุ่งๆ เป็นหนังผีเกือบหมด)
อีกเรื่องที่ต้องเน้นก็คือว่า อุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดียใต้ผลิตหนังแอ็คชั่นมาแบบถูกจริตคนอินเดียที่สุดจริงๆ เพราะหนังแอ็คชั่นดังๆ จากอินเดียใต้เกือบหมด ทำรายได้มากกว่า Avengers: Endgame ซะอีก และจริงๆ นี่ก็เป็นหนังฮอลลีวูดเพียงเรื่องเดียวที่ติด Top 20 ของหนังที่ทำเงินสูงสุดในอินเดีย และพอหนังดังๆ จากอินเดียใต้เป็นหนังแอ็คชั่นทุนสูงอลังการงานสร้าง มันก็เลยเป็นการ ‘ป้องกัน’ การรีเมคใหม่เป็นหนังภาษาฮินดีไป เพราะในอดีต ถ้าพวกหนังอินเดียใต้ดังมากๆ ทาง Bollywood ก็จะรีเมคแล้วใช้ดาราดังๆ ของหนังภาษาฮินดีมาเล่น และโกยเงินมากกว่า เพราะตลาดใหญ่กว่า แต่พอเป็นหนังแอ็คชั่น การทำแบบนั้นมันไม่คุ้ม การรีเมคใช้เงินเยอะไป สุดท้ายก็เลยใช้ระบบพากย์เสียงเอา และนี่ก็เป็นปัจจัยสำคัญว่าทำไมหนังจากอินเดียใต้ที่ดังระดับชาติ มันเป็นหนังแอ็คชั่นเกือบหมด
เหตุผลง่ายๆ เลยคือถ้าเป็นหนังดราม่าที่ดังๆ มันจะไม่ถูกพากย์เป็นภาษาฮินดีแล้วฉายทางตอนเหนือ แต่ Bollywood จะทำการรีเมคเป็นภาษาฮินดี ด้วยดาราอีกชุดหนึ่งที่ดังกว่าในโลกภาพยนตร์ภาษาฮินดี โดยตรงนี้เราจะเห็นเลยว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอินเดียแต่ละภาษา ก็จะมีดาราเฉพาะของเขา ซึ่งหนังแต่ละภาษาก็จะมีตัวชูโรงทั้งชายและหญิง (คงคล้ายๆ ที่บ้านเรามี ดาราช่อง 3 ดาราช่อง 7 ดาราช่อง One อะไรอย่างนี้) และนี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ ‘หนังอินเดียใต้’ เริ่มดังในวงกว้าง คือถ้าคนอินเดียเริ่มเบื่อ Bollywood แล้ว การไปดูหนังอินเดียใต้นี่คือแทบจะเหมือนดูหนังจากอีกประเทศ เพราะดาราเป็นคนละชุดกันหมด เรียกได้ว่าแก้เบื่อแก้เลี่ยนได้เป็นอย่างดี
มหาราชา (Vijay Sethupathi) ชายร่างใหญ่ชื่อแปลกผู้มีบุคลิกที่เงียบขรึมพูดน้อยสุภาพกับทุกคนท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวไม่มีปากเสียงกับใครและเขามีอาชีพช่างตัดผม จุดเด่นเพียงอย่างเดียวของมหาราชาคือพลังมหาศาลเมื่อเขาเห็นความไม่ถูกต้องจะยืนกรานถึงที่สุดเขาอยู่กับลูกสาววัยรุ่นที่รักพ่อมากกับถึงขยะหนึ่งถังที่ตั้งชื่อว่าลักษมี วันหนึ่งลูกสาวของเขาไปเข้าค่ายกรีฑาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์และฝากให้เขาดูแลทำความสะอาดลักษมีที่เป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวที่มีกันสองคนและเรื่องนี้มีที่มา ทว่าในคืนหนึ่งเมื่อมหาราชากลับมาที่บ้านเขาก็พบว่าบ้านถูกงัดเข้ามาและเขาฟื้นขึ้นมาพร้อมกับลักษมีที่หายไปเขาจึงหอบสังขารไปแจ้งความ แต่ที่สถานีตำรวจไม่มีใครยอมรับแจ้งความถังขยะหนึ่งใบที่หายและแน่นอนที่นั่นก็มีตำรวจกังฉินที่เห็นแก่ผลประโยชน์มหาราชาจึงติดสินบนสารวัตรตำรวจให้หาลักษมีของเขาให้ได้ แล้วทำไมเขาต้องตามหาถังขยะอย่างเอาเป็นเอาตายหรือว่ามีอะไรแอบแฝงในใบหน้าที่เรียบเฉยของเขากันแน่ รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอกด้วยการเล่าเรื่องที่เหนือชั้นและแพรวพราวชี้นำให้คาดเดาและก็ดันเดาไปแล้วเสียด้วย
ที่ว่าหลอกคือหน้าหนังที่เป็นเหมือนงานทริลเลอร์ผสมดราม่าหนักๆที่ความจริงก็ยังเป็นแบบนั้นแต่การเล่าเรื่องในช่วงต้นกลายเป็นงานขายอารมณ์ขันแบบตลกร้ายมากกว่า สิ่งที่ตามมาคือคนดูจะคิดว่าเป็นหนังตลกร้ายที่เรียกรอยยิ้มได้จากพฤติกรรมซื่อๆจนทื่อกับการตามหาถังขยะหนึ่งใบ แต่แล้วเมื่อถึงครึ่งหลังกลับเข้าสู่ความจริงจังเมื่อหลายอย่างถูกปะติดปะต่อทั้งที่ก่อนหน้านี้คนดูบางคนอาจงงปนสงสัยด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นอะไร แต่สิ่งที่ทำให้หนังที่เล่าเหมือนกระจัดกระจายยังมีทิศทางที่มั่นคงเพราะตัวเรื่องแข็งแรงและมุ่งมั่นในการชี้นำให้คาดเดาผ่านจุดศูนย์กลางคือถึงขยะที่ชื่อลักษมีที่ก็สมเหตุผลดีที่ชายซื่อๆอย่างมหาราชาจะตามหา หนังยังเร่งเร้าด้วยเงื่อนเวลาที่ต้องตามหาให้เจอที่มาพร้อมอารมณ์ขันอีกแหละที่ว่ากันด้วยตำรวจกังฉินกับประชาชนคนซื่อแต่นั่นคือการหลอกให้คนดูไปในทิศที่ต้องการแล้วที่สำคัญคนดูก็คิดตามนั้นและเดาไปต่างๆนาๆ เหตุผลมาจากความแพรวพราวของการเล่าเรื่องที่จะเล่าง่ายๆก็ได้แต่เลือกมาแบบนี้คงต้องยกเครดิตให้ว่าเหนือชั้น
Mr. And Mrs Mahi (2024) คู่รักคู่ฝัน
มเหนทราเป็นนักคริกเก็ตที่ล้มเหลวและไม่สามารถทำได้ เขามีความสามารถที่น่าทึ่งในการอ่านลูกบอลในมือของโบว์เลอร์และคาดเดาว่าโบว์เลอร์จะทำอะไร น่าเสียดายที่ผู้คัดเลือกไม่เคยดูเลยเมื่อเขาตี มเหนทราจัดเกมทั้งหมดด้วยอินนิ่งส์ของเขา แต่เพื่อนนักตีของเขารับสไตรค์ในโอเวอร์สุดท้ายและสร้างความประทับใจให้กับผู้คัดเลือก เบนนี่ ดายัล ชุกลา (ราเจช ชาร์มา) เป็นโค้ชของมเหนทรา มเหนทราไล่เพื่อนนักตีออกไปและรับสไตรค์ในลูกสุดท้ายโดยต้องการ 4 รัน เขาตีพลาดจังหวะและถูกจับที่ขอบสนาม ทำให้แพ้เกม เบนนี่เห็นสิ่งนี้และปฏิเสธที่จะสนับสนุนมเหนทราในการแสวงหาการคัดเลือก มเหนท ราอาศัยอยู่กับฮาร์ดายัล (คูมุด มิชรา) ผู้เป็นพ่อ กีตา (ซาริน่า วาฮับ) ผู้เป็นแม่ และสิกันเดอร์ (อาร์จิต ทาเนจา) พี่ชาย ฮาร์ดายัลไม่สนับสนุนคริกเก็ตของมเหนทราและต้องการให้เขาดูแลร้านอุปกรณ์กีฬาของครอบครัว มเหนทราต้องการเวลาอีกหนึ่งปีเพื่อเติมเต็มความฝันของเขา แต่ฮาร์ดายัลไม่สนับสนุนและบังคับให้มเหนทราเลิกเล่นกีฬา ฮาร์ดายัลรักสิกันเดอร์ซึ่งเป็นนักแสดงและได้รับรางวัล “ลูกชายยอดเยี่ยม” จากรายการทีวีที่เขากำลังแสดงอยู่ สิกันเดอร์ใช้ชีวิตทั้งชีวิตบนโซเชียลมีเดียและยังซื้อไลค์สำหรับโพสต์ของเขาเพื่อรักษาบุคลิกของเขาไว้ กุดดัน (Dheerendra Kumar Gautam) เป็นพนักงานในร้าน
การแต่งงานแบบคลุมถุงชนทำให้มเหนทรา “มหิ” อักการ์วัล (Rajkummar Rao) นักคริกเก็ตที่ล้มเหลว และมหิมา “มหิ” ชาร์มา (Janhvi Kapoor) แพทย์ที่อาศัยอยู่ในชัยปุระ มาฮิมาอาศัยอยู่กับตรีโลก (Purnendu Bhattacharya) ผู้เป็นพ่อ และยามินี (Yamini Das) ทั้งคู่มีชื่อเล่นเดียวกันคือมหิ พวกเขาจึงกลายเป็นคุณนายและคุณนายมหิ ซึ่งคล้ายกับชื่อเล่นของโธนี ไม่นานพวกเขาก็ค้นพบความรักและความหลงใหลในคริกเก็ตที่เหมือนกัน มะเฮนดราตื่นแต่เช้าก่อนเริ่มการโยนเหรียญเพื่อชมการแข่งขันในออสเตรเลีย พวกเขาชมการแข่งขันในสนามกีฬาด้วยกันทุกครั้งที่มีโอกาส คืนหนึ่ง มะเฮนดรารีบกลับบ้านเพื่อชมเกมโดยลืมล็อกร้านให้เรียบร้อย และในเช้าวันรุ่งขึ้นพบว่าร้านถูกปล้นและรื้อค้น ฮาร์ดายัลพบว่ามะเฮนดรารีบกลับบ้านเพื่อชมการแข่งขันคริกเก็ต จึงตบเขาอย่างแรง ฮาร์ดายัลเรียกมะเฮนดราว่าผู้แพ้ มะเฮนดราคร่ำครวญว่าหากได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม เขาอาจได้เล่นให้กับอินเดีย
มะเฮนดราสนับสนุนให้มะเฮนดรากลับมาเล่นคริกเก็ตอีกครั้ง เบนนีรับเขากลับมา แต่มะเฮนดราไม่ใช่ผู้เล่นคนเดิมอีกต่อไป 5 ปีผ่านไปแล้วนับตั้งแต่เขาเล่นครั้งสุดท้าย และไม่สามารถอยู่ได้แม้แต่ในตาข่าย เบนนีขอให้มะเฮนดราลองเป็นโค้ชและเสนองานให้เขา มะเฮนดราประทับใจเมื่อผู้เล่นคนหนึ่งของเบนนีได้รับเลือกให้เล่นในอินเดีย มุมมองของเขาเปลี่ยนไปและเขาตัดสินใจรับงานจากเบนนี่ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นคนสำคัญและมีผู้สมัคร 50 คนสำหรับตำแหน่งผู้ช่วยโค้ช ในขณะเดียวกันที่ทำงาน มาฮิมากำลังถูกตัดสินโดยดร. พัทวัล (ชาชี แวร์มา) ซึ่งไม่ได้พาเธอไปกับเขาในรอบต่างๆ มเหนทราเห็นพรสวรรค์ด้านคริกเก็ตในตัวภรรยาของเขาเมื่อเห็นเธอตีลูกเทนนิสซิกเซอร์ได้และสนับสนุนให้เธอไล่ตามความฝันในการเป็นนักคริกเก็ต มเหนทราสารภาพว่าตอนเด็กๆ เธออยากเป็นนักคริกเก็ต แต่พ่อของเธอผลักดันให้เธอเป็นหมอแทน มเหนทราเสนอตัวเป็นโค้ชให้เธอเอง มเหนทราและมเหนทราเบื่อหน่ายกับการถูกตราหน้าว่าล้มเหลวในอาชีพของตนเอง จึงร่วมมือกันเพื่อเตรียมมเหนทราให้เป็นนักคริกเก็ตมืออาชีพ
ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ มเหนทราตั้งเป้าหมายที่จะพิสูจน์ตัวเองในฐานะโค้ชมากกว่าภรรยาของเขาในฐานะนักคริกเก็ต เขาให้มเหนทราฝึกซ้อมฟิตเนสและคริกเก็ตอย่างเข้มงวด พวกเขาฝึกซ้อมตาข่าย 3 ครั้งต่อวัน ตริโลกพบว่ามเหนทราลาออกจากงานในโรงพยาบาลและโกรธมาก มเหนทราบอกมเหนทราว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะสงสัยในตัวเองและเธอต้องสนับสนุนพรสวรรค์ของเธอ หลังจากพบกับตริโลก มเหนทรามั่นใจเป็นสองเท่าว่าเธอต้องการเล่นคริกเก็ตในชีวิต มะเหนทราทำงานร่วมกับมะเหนทราในทุกแง่มุมของเกมของเธอ เธอเชี่ยวชาญการโยนลูกเร็วแต่มีปัญหาในการอ่านลูกหมุน มะเหนทราทำงานร่วมกับเธอในการเคลื่อนไหวเท้าเพื่อสวนลูกหมุน มะ
เหนทราได้รับเลือกให้เข้าร่วมทีมคริกเก็ตหญิงของรัฐราชสถาน โค้ชของรัฐ มังเกช (สันเดช กุลการ์นี) ต่อต้านมะเหนทราเพราะเธอไม่เคยเล่นในเขตหรือโซนและเชื่อว่าเธอไม่สามารถอยู่รอดในระดับรัฐได้ แต่ผู้คัดเลือกคนอื่นๆ ประทับใจกับซิกเซอร์ 4 ลูกที่เธอตีออกจากพื้น Gyanesh (นามาน อโรรา) เป็นผู้จัดการฝ่ายสื่อสัมพันธ์ของคณะกรรมการรัฐราชสถาน มะเหนทราเป็นคนดังในสื่อชั่วข้ามคืนและมะเหนทรารู้สึกว่าถูกละเลย มะเหนทราต้องการให้มะเหนทราบอกสื่อเกี่ยวกับเขา แต่คำถามทั้งหมดมุ่งเป้าไปที่เธอ มะเหนทราอ้างว่าเธอพูดถึงมะเหนทรา แต่บางทีอาจถูกตัดออกโดยช่องข่าว Hardayal ใช้ประโยชน์จากมะเหนทราเพื่อโปรโมตร้านของเขา แต่มะเหนทรากลับถูกเพิกเฉย จาก
คำแนะนำของเบนนี่และสิกันเดอร์ มะเหนทราเริ่มทำการตลาดตัวเองในฐานะโค้ชของมะเหนทรา ในระดับรัฐ จุดอ่อนของ Mahima ในการเล่นลูกสั้นถูกเปิดเผย Mahendra ได้รับการสัมภาษณ์โดยสัญญาว่าจะมี Mahima อยู่ด้วย แต่ Mahima เผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากโค้ช Mangesh และปฏิเสธที่จะออกจากการฝึกซ้อมเพื่อเข้าร่วมการสัมภาษณ์ Mahendra ถูกไล่ออกจากสำนักงานช่องข่าวเพราะผิดสัญญา Mahendra ระบายความหงุดหงิดที่มีต่อ Mahima และบอกว่าเธอรับชื่อเสียงทั้งหมดไปและไม่ทิ้งอะไรไว้ให้เขาเลย Mahima รู้สึกว่า Mahendra กำลังใช้เธอเพื่อความสำเร็จของตัวเอง ความขัดแย้งภายในนี้ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างทั้งคู่ Geeta แม่ของเขาได้บรรเทาความขัดแย้งนี้ด้วยการแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตของเธอ เธอกระตุ้นเขาด้วยการบอกว่าความสุขภายในตัวคุณและสำหรับผู้อื่นจะทำให้คุณรู้สึกประสบความสำเร็จ สิ่งนี้ทำให้ Mahi ตระหนักถึงความผิดพลาดของเขาและพยายามใหม่อีกครั้งเพื่อช่วยเหลือภรรยาของเขา
Kabir Rishi นักบัญชีที่ได้รับการรับรองอาศัยอยู่ในเดห์ราดุน รัฐอุตตราขัณฑ์ กับ Jyoti ภรรยาของเขาและ Janhvi และ Dhruv ลูกสองคนของพวกเขา ครอบครัวต้องการพักจากกิจวัตรประจำวัน จึงตัดสินใจใช้เวลาอยู่ที่ฟาร์มในสถานีบนเขาที่ห่างไกล ระหว่างการเดินทาง พวกเขาได้พบกับชายลึกลับชื่อ Vanraj Kashyap ซึ่งในตอนแรกดูเป็นมิตรแต่ก็สร้างความกังวลได้ เขาเสนอ laddu ให้กับ Janhvi เพื่อแลกกับ paratha ของเธอ แม้จะดูไม่เป็นอันตราย แต่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้ Janhvi รู้สึกไม่สบายใจอย่างน่าขนลุก ในเวลาต่อมา ขณะที่ครอบครัวขับรถไปที่ฟาร์ม Vanraj ก็ยื่นถุงบิสกิตให้เธอ และบอกให้เธอกินทันทีที่ไปถึง เมื่อถึงฟาร์มเฮาส์ ครอบครัวก็เริ่มผ่อนคลายลง จโยติทำโทรศัพท์เปียกโดยไม่ได้ตั้งใจ
เธอจึงวางโทรศัพท์ไว้ในภาชนะใส่ข้าวเพื่อให้แห้งและมุ่งหน้าไปที่ระเบียง ที่นั่น เธอเห็นวานราชยืนอยู่หน้าประตูบ้านของพวกเขา จันห์วีที่ไว้ใจเขาจึงปล่อยให้เขาเข้ามาในบ้านเมื่อเขาอ้างว่าแบตเตอรี่โทรศัพท์ของเขาหมด อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของเขาทำให้ครอบครัวรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น และจโยติจึงเร่งเร้าให้กบีร์ส่งเขาไป อย่างไรก็ตาม วานราชเริ่มพูดคุยกับจันห์วีเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับชีวิตในมหาวิทยาลัยและความสัมพันธ์ของเธอ ในขณะที่ครอบครัวยังคงทำกิจกรรมตอนเย็นกันต่อไป วานราชใช้เล่ห์เหลี่ยมให้จันห์วีขู่ธรูฟ น้องชายของเธออย่างแยบยลในขณะที่เล่นชิงช้า ภายใต้อิทธิพลของเขา จันห์วีแกว่งธรูฟอย่างอันตราย ทำให้เขาตกใจขณะที่เขาร้องขอความช่วยเหลือ
Kabir และ Jyoti ตกใจกับพฤติกรรมของเธอ จึงเข้ามาขัดขวาง Kabir เรียกร้องให้ Vanraj ออกไป แต่ Vanraj ปฏิเสธ ก่อนที่ Kabir จะโยนเขาออกไปได้ Janhvi ก็หยุดเขาไว้อย่างน่าตกใจ โดยทำตามคำสั่งของ Vanraj จากนั้น Vanraj ก็เปิดเผยพลังที่แท้จริงของเขา เขาสะกดจิต Janhvi โดยใช้เวทมนตร์ดำ ทำให้เธอเชื่อฟังทุกคำสั่งที่เขาให้ เพื่อพิสูจน์การควบคุมของเขา เขาสั่งให้เธอยืนและนั่งซ้ำๆ ซึ่งเธอก็ทำตามแบบหุ่นยนต์ เมื่ออิทธิพลของเขาเพิ่มขึ้น Vanraj ก็สั่งให้ Janhvi ทำลายโทรศัพท์ทั้งหมดในบ้าน ตัดการติดต่อกับโลกภายนอก เขาทำให้เธออับอายและทรมานมากขึ้น ทำให้เธอต้องกินใบชาแห้งและถึงกับบังคับให้เธอตบพ่อของเธอ
สถานการณ์เลวร้ายลงเมื่อวันราชเรียกร้องให้กบีร์และจโยติมอบจันห์วีให้เขา โดยระบุว่าเขาต้องได้รับอนุญาตจากพวกเขาจึงจะควบคุมเธอได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อพวกเขาปฏิเสธ เขาก็ตอบโต้ด้วยการสั่งให้จันห์วีทำร้ายธรูฟ ในช่วงเวลาที่น่าสยดสยอง เธอทุบหัวน้องชายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จโยติสิ้นหวังจึงโทรหาสายด่วนของตำรวจโดยใช้โทรศัพท์ที่เธอวางไว้ในถังข้าวสารก่อนหน้านี้ เมื่อตำรวจมาถึง วานราชก็สั่งให้จันห์วีอยู่ในสถานการณ์ที่คุกคามชีวิตทันที เขาสั่งให้เธอนั่งบนถังแก๊สที่เปิดอยู่พร้อมถือไม้ขีดไฟในมือเพื่อเตรียมจุดไฟ เขาเตือนกบีร์และจโยติว่าหากพวกเขาเปิดเผยอะไรกับตำรวจ จันห์วีจะจุดไฟเผาตัวเอง เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ครอบครัวจึงทำตัวตามปกติ และเมื่อตำรวจไม่เห็นว่ามีอะไรน่าสงสัย ตำรวจจึงจากไป
เมื่อกาบีร์ตระหนักว่าการเจรจาอาจเป็นโอกาสเดียวของพวกเขา จึงเสนอเงินให้วานราชเพื่อช่วยพวกเขา วานราชแสร้งทำเป็นยอมรับ แต่แล้วก็เผาเงินนั้นทิ้งไป โดยเปิดเผยว่าเขาไม่สนใจในทรัพย์สินทางวัตถุใดๆ เขาประกาศตนว่าตนเป็นผู้มีอำนาจเหนือกว่า ผู้ที่ตั้งใจจะลิดรอนเสรีภาพของมนุษยชาติ เพื่อแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของเขา เขาจึงบังคับให้จันห์วีตบตัวเองซ้ำๆ และเต้นรำเป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยไม่พักผ่อน จากนั้นเขาก็สั่งให้เธอหยิบมีดและสั่งให้เธอเฝ้าเขาขณะที่เขานอนหลับ โดยเตรียมที่จะโจมตีใครก็ตามที่เข้ามาใกล้ เมื่อกาบีร์พยายามหยิบโทรศัพท์ของวานราชขึ้นมาเพื่อขอความช่วยเหลือ จันห์วีซึ่งอยู่ในอาการทุกข์ใจ ได้ปัสสาวะรดตัวเองเพื่อหยุดเขา โดยเลือกที่จะทำให้อับอายแทนที่จะทำร้ายพ่อของเธอ วานราชโกรธที่เธอขัดขืน จึงสั่งให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าทุกคน
ถ้าเอ่ยถึงหนังอินเดียภาพจำของคนดูอาจคิดถึงเพลงร้องเล่นเต้นระบำกันทั้งเรื่องที่เมื่อก่อนสมัยที่ผู้เขียนยังเด็กดูโทรทัศน์ขาวดำจะวิ่งข้ามเขากันเป็นสิบๆลูกจนกลายเป็นที่ล้อเลียน แล้วในยุคหลังก็ยังมีแต่ก็เหมือนจะลดน้อยลงไปหรือมีก็เป็นการอธิบายเรื่องราวและอารมณ์มากกว่าไม่ได้มาเต้นระบำรำฟ้อนแล้ว และสิ่งนี้เองที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังอินเดียที่มองอีกมุมมันก็เป็นเสน่ห์แม้ว่าเพลงจะทำให้เวลาฉายลากยาวไปมากกว่าหนังจากประเทศอื่นไปมากก็ตาม และสิ่งที่ตามมาคือนักแสดงอินเดียจะต้องร้องเพลงได้เต้นได้เพราะเล่นเรื่องไหนก็ไม่ตางจากหนังเพลงจนอาจเรียกได้ว่าเป็นงานมิวสิคัลกลายๆจนสามารถขายได้ทั้งการเสดงและการร้องเพลง อีกประการคืออุตสาหกรรมบันเทิงของอินเดียมีขนาดใหญ่ทำให้มีชิ้นงานออกมาสู่สายตาคนดูมากมายดีบ้างแย่บ้างก็เป็นเรื่องปกติ แน่นอนที่ว่าก็ต้องมีนักแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์มากมายทั้งฝ่ายชายฝ่ายหญิงที่ชื่อเรียกคนดูให้ซื้อตั๋วเข้าไปดูในโรงได้ แม้ปัจจุบันฉากร้องเพลงอาจถูกตัดออกบ้างตามยุคสมัยแต่พลังดาราก็ยังสามารถเรียกคนดูได้เช่นเดียวกับหนังเรื่องนี้ที่เน้นพลังหญิงเต็มที่
Geeta (Tabu) , Jasmine (Kareena Kapoor) และ Divya (Kriti Sanon) คือแอร์โฮสเตสที่สายการบินที่พวกเธอทำงานกำลังง่อนแง่นทางการเงินจนค้างจ่ายเงินเดือนพนักงานจนเดือดร้อนไปทั่ว ทั้งสามคนมีพื้นฐานชีวิตที่ต่างกันแต่มีจุดร่วมเดียวกันคือความฝันที่ต้องใช้เงินที่ปัจจุบันอย่าว่าแต่ทำตามฝันค่าเช่าบ้านยังไม่มีจ่ายจนวันหนึ่งหัวหน้าพนักงานบนเครื่องชีวาวายต่อหน้าต่อตาแล้วพวกเธอก็พบว่าเขาแอบลักลอบขนทองคำออกนอกประเทศ แน่นอนแม้จะอยู่ในภาวะข้นแค้นแต่ยังมีมโนธรรมในใจแม้ว่าจะมีแอบคิดบ้างว่าน่าจะจิ๊กทองเก็บไว้ก็ตาม จนเหตุการณ์ย่ำแย่ลงพวกเธอจึงตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการขนทองออกนอกประเทศจนทำให้ชีวิตดีขึ้นในทันตาเงินทองไหลมาเทมาชีวิตก็ฟู่ฟ่าตามไป ทว่าเมื่อทุกอย่างกำลังจะดีก็มีคนแจ้งศุลกากรแต่ทั้งสามสาวก็ไหวตัวทันทำให้รอดไปได้แบบหวุดหวิดและอีกไม่นานสายการบินก็ประกาศล้มละลายเจ้าของสายการบินหนีไปเสวยสุขต่างประเทศ ที่เจ็บปวดคือเงินมหาศาลนั้นมาจากการที่พวกเธอแอบขนทองออกนอกประเทศนั่นเองด้วยความแค้นสามนางฟ้าจึงวางแผนเอาคืนอย่างบ้าบิ่น
เรื่องราวของ Srikanth Bolla (Rajkummar Rao) นักธุรกิจชาวอินเดียที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้ก่อตั้ง Bollant Industries บริษัทที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 เพื่อจ้างคนไร้ทักษะและมีความสามารถพิเศษในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Srikanth เกิดในหมู่บ้าน Seetharamapuram ใน Machilipatnam ในรัฐ Andhra Pradesh ประเทศอินเดียซึ่งขณะนั้นยังไม่มีการแบ่งแยก Srikanth แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของเขาแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย ในวันที่เขาเกิด Damodar (Srinivas Beesetty) ผู้เป็นพ่อก็ดีใจมาก เพราะตั้งชื่อลูกชายตามนักคริกเก็ต Krishnamachari Srikkanth กลายเป็นคนผิดหวังเมื่อเขาเห็นทารกแรกเกิดที่มองไม่เห็น ญาติๆ ทุกคนแนะนำให้ Damodar และ Venkatamma ภรรยาของเขาทิ้งทารกแรกเกิดไป เพราะโลกจะปฏิบัติกับเขาเหมือนขยะและเขาจะไม่มีอนาคต Damodar ขุดหลุมเพื่อฝังเขา แต่ได้รับการช่วยเหลือจาก Venkatamma (Anusha Nuthula) ผู้เป็นแม่
ศรีกันธ์เติบโตมาในความยากจนข้นแค้นกับพ่อแม่ของเขา เขาเดินโซเซไปทั่วบ้านของตัวเองและเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง พ่อแม่ของเขาจึงหันไปสนใจลูกคนต่อไปของพวกเขา นเรนทรา (อารัฟ โคต) ซึ่งเกิดมาพร้อมอวัยวะทั้งหมดที่ยังทำงานได้ ศรีกันธ์ยังต้องทนกับการถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียนท้องถิ่น แม้ว่าเขาจะเก่งกาจก็ตาม ศรีกันธ์ตาบอด แต่เขาก็เป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในชั้นเรียนและตอบคำถามทุกข้อจากครูของเขา ตั้งแต่ยังเด็ก ศรีกันธ์เรียนรู้ว่าเขาไม่สามารถวิ่งได้ เขาทำได้แค่ต่อสู้เท่านั้น ครูของเขาขอให้ดามอดาร์ส่งศรีกันธ์ไปโรงเรียนพิเศษ (โรงเรียนอาชาสำหรับคนตาบอด) ในเมืองไฮเดอราบาด โรงเรียนแห่งนี้เปิดให้นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษเข้าเรียนฟรี ในเมืองไฮเดอราบาด เขาเข้าเรียนในโรงเรียนพิเศษที่ซึ่งเขาโดดเด่น จากนั้นเขาก็ได้รับคำแนะนำจากครูของเขา เดวิกา (จโยธิกา) ซึ่งคอยจับมือเขา เดวิกาช่วยให้ศรีกันธ์เรียนรู้การใช้ไม้เท้าสำหรับคนตาบอด ศรีกันต์บ่นกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เข้ามาเยี่ยมว่าผู้อำนวยการ (อรุณ มาลิก) ทุจริตและไม่ยอมใช้เงินบริจาคไปช่วยนักเรียนแม้แต่ครึ่งเดียว
ศรีกันต์ถูกไล่ออกจากโรงเรียน และผู้อำนวยการยังเอาไม้เท้าของเขาไปอีกด้วย เดวิกาพบว่าศรีกันต์เดินเตร่ไปตามถนน โดยพยายามหลีกเลี่ยงการจราจร เดวิกาพาศรีกันต์กลับบ้านและบอกพ่อแม่ของเขาว่านับจากนั้นเป็นต้นมา ศรีกันต์เป็นความรับผิดชอบของเธอ เดวิกาสอนวิทยาศาสตร์ให้กับศรีกันต์โดยบันทึกหนังสือทุกเล่มลงในเทปเสียง ต่อมา เดวิกาช่วยเขาฟ้องศาลเพื่อศึกษาวิทยาศาสตร์ในวิชาที่ 11 และ 12 (แม้ว่าจะได้คะแนน 96% ในวิชาที่ 12) ระบบการศึกษาระดับสูงของอินเดียไม่มีทางเลือกในการเรียนวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสายตา คดีความยืดเยื้อมาหลายเดือน ดังนั้น เดวิกาจึงเริ่มสอนศรีกันต์ด้วยตัวเอง ศรีกันต์โต้แย้งในศาลว่าเขาเก่งวิทยาศาสตร์และระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อกีดกันผู้พิการ ศาลจึงอนุญาตให้เขาเรียนวิทยาศาสตร์ในวิชาที่ 11 และ 12 นอกจากนี้ ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ศรีกันต์ยังเล่นคริกเก็ตให้กับผู้พิการทางสายตาอีกด้วย โดยศรีกันต์ทำคะแนนได้ 98% และอยู่ในอันดับสูงสุดของโรงเรียน
คาร์ซัน (จูเนด ข่าน) เป็นนักคิดก้าวหน้าและนักปฏิรูปสังคมในเมืองบอมเบย์ก่อนการประกาศเอกราช เขาอาศัยอยู่กับลุงและป้าฝ่ายแม่หลังจากแม่ของเขาเสียชีวิต เขาหมั้นหมายกับคิโชรี (ชาลินี ปานเดย์) ผู้ศรัทธาอย่างแรงกล้าในมหาราช “เจเจ” (ไจดีป อาห์ลาวัต) ผู้นำของ “ฮาเวลี” (หรือวัด) ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา คาร์ซันเป็นคนช่างสงสัยและตั้งคำถามเกี่ยวกับความเชื่ออันมืดบอดของชุมชนของเขามาโดยตลอด คาร์ซันสูญเสียแม่ไปเมื่ออายุได้ 10 ขวบ ครอบครัวของเขาจึงย้ายไปบอมเบย์หลังจากแม่ของเขาเสียชีวิตในปี 1842 กษัตริย์อังกฤษได้รับสินสอดทองหมั้นบนเกาะทั้ง 7 แห่งของบอมเบย์และให้เช่าแก่บริษัทอินเดียตะวันออกในราคา 10 ปอนด์ต่อปี ในไม่ช้า บอมเบย์ก็กลายเป็นศูนย์กลางของพ่อค้าฝ้ายจากชุมชนไวษณพของคุชราต ไวษณพมีฮาเวลี 7 แห่งในบอมเบย์ ฮาเวลีที่ใหญ่ที่สุดคือกัลบาเทวีซึ่งเจเจเคยอาศัยอยู่ คาร์ซานอาศัยอยู่ที่บ้านของลุงฝ่ายแม่ของเขา (ซันจีฟ เซธ) ในเมืองบอมเบย์ เมื่อคาร์ซานเติบโตขึ้น เขาเขียนบทความเกี่ยวกับปัญหาสังคม (เช่น หญิงม่ายที่ถูกแยกออกจากสังคม) ในหนังสือพิมพ์ Rast Goftar ซึ่งเผยแพร่โดย Dadabhai Naoroji (Sunil Gupta)
คิชิริเป็นสาวกที่เคร่งศาสนาของ JJ และเชื่อว่ามหาราชมาก่อนคู่หมั้นของเธอ และศาสนามาก่อนความรัก คาร์ซานเชื่อว่าผู้ชายมีความสัมพันธ์โดยตรงกับพระเจ้า และไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางอย่าง JJ ในช่วงเทศกาลโฮลี คิชิริดึงดูดความสนใจของ JJ และเธอได้รับเลือกให้แสดง “Charan Seva” ให้เขาดู ชุมชนของสาวก JJ ที่เคร่งศาสนายอมรับว่าผู้หญิงในชุมชนแสดง “Charan Seva” ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการมีกิจกรรมทางเพศกับ JJ นอกจากนี้ สมาชิกในชุมชนยังได้รับเชิญให้ชมการดำเนินการจากห้องชมที่อยู่เหนือห้อง JJ คาร์ซานมาหาคิชิริและถูกพาไปที่ห้องชมเช่นกัน คาร์ซานเห็นคิโชริและเจเจกำลังมีเซ็กส์กันและตัดสินใจถอนหมั้นเมื่อคิโชริไม่ใส่ใจกับการกระทำและการกระทำของเจเจ คิโชริไม่เข้าใจว่าเธอทำอะไรผิดและสับสนอย่างมาก เธอขอให้คาร์ซานออกไปและบอกว่าเธอจะกลับมาหลังจากทำหน้าที่ของเธอเสร็จแล้ว
หลังจากนั้นไม่กี่วัน คิโชริก็เผชิญหน้ากับคาร์ซานอีกครั้งและยืนกรานว่าสิ่งที่เธอทำไปทั้งหมดเป็นเพียงการปฏิบัติตามประเพณี เธอบอกว่าถ้าแม่ของคาร์ซานยังมีชีวิตอยู่ เธอคงไม่ลังเลที่จะส่งน้องสาวของเขาไปที่ Charan Seva คิโชริไปหาเจเจเพื่อขอการปลอบใจ และเขาก็มีเซ็กส์กับเธออีกครั้ง ต่อมา คิโชริก็รู้ว่าความเชื่อของเธอผิดพลาดและความชั่วร้ายของเจเจ (เมื่อเธอเห็นเจเจมีเซ็กส์กับเดวี (อนัญญา อาการ์วัล)) แต่เธอสูญเสียคาร์ซานไปตลอดกาล คาร์ซานชี้แจงให้ครอบครัวของเขาทราบอย่างชัดเจนว่าเขาจะไม่แต่งงานกับคิโชริและถูกไล่ออกจากบ้านเพราะเหตุนี้ ครอบครัวของเขายังเป็นผู้ศรัทธาที่เคร่งครัดและเชื่อว่าคิโชริไม่ได้ทำอะไรผิด Karsan ถูกไล่ออกจากบ้านโดยป้าม่ายของเขา Bhabhu (Sneha Desai) และลุงและป้าฝ่ายแม่ของเขา (Jaya Ojha)
Lalvanji Maharaj (Utkarsh Mazumdar) ยังทำงานที่ Haveli อีกด้วย Karsan เผชิญหน้ากับเขาเมื่อเขาพบ Shaamji () Kamlesh Oza) และ Leelavati ที่กำลังสิ้นหวังอยู่ข้างนอก Haveli ของ JJ JJ ทำให้ Leelavati ตั้งครรภ์ และเมื่อเธอมาขอความช่วยเหลือ เขาก็ให้ Laddoo ที่ผสมยากับเธอซึ่งทำให้เธอต้องทำแท้ง Lalvanji บอกว่าเขาเคยรู้จัก JJ แต่คร่ำครวญว่าตอนนี้ JJ คือหน้าเป็นตาของ Haveli และด้วยเหตุนี้ Haveli จึงทำให้มีทรัพย์สมบัติมากมาย และนิกายนี้ก็แพร่หลายไปทั่ว แม้จะมีชื่อเสียง แต่ Maharaj อีกคนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเก็บปากเงียบ Karsan พบว่าไม่มีใครพร้อมที่จะต่อสู้กับ Haveli และ JJ ที่ปรึกษาของเขา Dadabhai พยายามโน้มน้าวให้เขาให้อภัย Kishori หรืออย่างน้อยก็ให้โอกาสเธอในการชดใช้ความผิด ก่อนที่เขาจะพูดคุยกับเธอได้ เขาก็ได้รู้ว่า Kishori ฆ่าตัวตาย คิชอรีฆ่าตัวตายเนื่องจากความผิดพลาดที่เธอทำ และความปรารถนาสุดท้ายของเธอคือให้คาร์ซานเปิดเผยความจริงของเจเจให้โลกรู้
หลังจากอ่านข้อความสุดท้ายของคิชอรีถึงเขา คาร์ซานจึงไปเผชิญหน้ากับเจเจ เจเจมั่นใจว่าคาร์ซานไม่สามารถเปลี่ยนมุมมองได้ และสถานะของพวกเขาในโลกก็ถูกกำหนดไว้แล้ว โดยเจเจเล่นบทบาทเป็นพระเจ้า (มหาราช ยาธุ “นาธ”) ในชุมชนของพวกเขา และคาร์ซาน (คาร์ซาน “ดาส”) เป็นผู้ศรัทธา เมื่อคนอื่นไม่เต็มใจที่จะเผยแพร่เกี่ยวกับเจเจ คาร์ซานจึงเริ่มทำหนังสือพิมพ์ของตัวเองเพื่อเปิดเผยความจริง หนังสือพิมพ์ถูกเจเจสกัดกั้นและเผาในฮาเวลี เจเจปิดฮาเวลีทั้งหมดในบอมเบย์ ผู้ศรัทธาที่เคร่งศาสนาจะไม่ละศีลอดก่อนสวดมนต์ตอนเช้าที่ฮาเวลี และเจเจตั้งเงื่อนไขว่าฮาเวลีจะไม่ถูกเปิดจนกว่าคาร์ซานจะขอโทษ คาร์ซานพูดคุยกับสมาชิกชุมชนที่ประท้วงและโน้มน้าวพวกเขาว่าพวกเขาไม่ต้องการฮาเวลีมากกว่าที่ฮาเวลีต้องการพวกเขา Karsan ได้รับการสนับสนุนจาก Viraaj (Sharvari) สมาชิกหญิงของชุมชน สมาชิกชุมชนสวดภาวนาต่อรูปเคารพที่ Karsan วางไว้บนถนนและละศีลอด JJ ปฏิเสธที่จะเปิดประตูฮาเวลีแม้ว่าการละหมาดตอนเช้าจะยังดำเนินต่อไปนอกฮาเวลี Karsan เริ่มมั่นใจในภารกิจของเขาและ Viraaj เข้าร่วมเป็นพนักงานของหนังสือพิมพ์ของเขา ในขณะเดียวกัน JJ โทรหาพ่อของ Karsan (Sandeep Mehta) และขู่ว่าจะทำให้ Karsan ขอโทษ พ่อของ Karsan มาที่หนังสือพิมพ์และประกาศว่าเขาจะตัดขาดจาก Karsan หากเขาไม่ขอโทษ JJ Karsan ไม่ยอมแพ้ และหนังสือพิมพ์ของเขาก็แพร่หลายในหมู่ผู้คนอย่างประสบความสำเร็จ ความคิดของชุมชนเริ่มเปลี่ยนไป และพวกเขาเริ่มตระหนักรู้ถึงการเอารัดเอาเปรียบและเจตนาไม่ดีของ JJ ทีละน้อย แม้แต่ภรรยาของ JJ ก็ยังอ่านหนังสือพิมพ์ของ Karsan และรู้ว่าเขากำลังพูดความจริง Viraaj ขอ Karsan แต่งงานและต้องการแต่งงานกับเขา เจเจ ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทคาร์ซานโดยเรียกค่าเสียหาย 50,000 รูปี และลุงของคาร์ซานก็นำพยานมากล่าวโทษเจเจ
Jawaani Jaaneman (2020) หวานใจวัยกระเตาะ
หนุ่มโสดวัยกลางคน ผู้สนุกสนานไปกับการใช้ชีวิตอย่างเสรีและใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการปาร์ตี้กับสาวๆ จู่ๆ ก็ต้องพบว่าตัวเองกลายเป็นพ่อของเด็กสาวคนนึงที่กำลังตั้งท้อง เขาจะแสดงความรับผิดชอบหรือไม่? หรือจะเมินเฉยและใช้ชีวิตอย่างเสรีต่อไป? ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ coming of age ที่นำเสนอการเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้ายของผู้ชายคนนึง ผ่านความขบขัน
Manoj Kumar Sharma เกิดในเมือง Chambal ที่เต็มไปด้วยโจรกรรม เป็นลูกชายของเสมียน พ่อของเขาเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ถูกพักงานเพราะไปชนเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต Manoj เตรียมใบโกงสำหรับการสอบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมรุ่นทุกคน ครูที่โรงเรียนในท้องถิ่นช่วยนักเรียนโกงข้อสอบ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เพิ่งย้ายมาใหม่ DSP Dushyant Singh หยุดโกงข้อสอบที่โรงเรียน ส่งผลให้นักเรียนทุกคน รวมทั้ง Manoj สอบไม่ผ่าน ในขณะเดียวกัน พ่อของเขาไปโต้แย้งการพักงานของเขาในศาลสูง Manoj และพี่ชายตัดสินใจขับรถลากเพื่อช่วยเหลือที่บ้าน พี่ชายของ Manoj ถูกกล่าวหาอย่างเท็จว่าลักลอบขนแอลกอฮอล์ขึ้นรถลากของเขา หลังจากชนลูกน้องของสมาชิกรัฐสภาในพื้นที่ หลังจากที่เขาพยายามให้ผู้โดยสารเดินทางด้วยรถบัส ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใส่ร้ายเขา อย่างไรก็ตาม Manoj ได้ประกันตัวน้องชายของเขาด้วยความช่วยเหลือของ DSP Dushyant ซึ่งแนะนำให้ Manoj “หยุดโกงข้อสอบ” เพื่อที่จะได้เป็นเจ้าหน้าที่เหมือนเขา
หนึ่งปีต่อมา Manoj สอบผ่านโดยไม่โกงและมุ่งมั่นเรียนต่อปริญญาตรีเพื่อเป็น DSP ย่าของเขาให้เงินออมทั้งหมดแก่เขาขณะที่เขาออกเดินทางเพื่อศึกษาที่เมืองกวาลิเออร์ แต่เขากลับทำข้าวของทั้งหมดหายระหว่างทางไปหาผู้หญิงที่ขโมยไปขณะที่เขางีบหลับในรถบัสที่เขาโดยสารมา จากนั้นเขาก็ได้รู้ว่ารัฐบาลได้ตัดสินใจหยุดการสอบกลุ่ม I ของ MPPSC เป็นเวลาสามปี ซึ่งสิ่งนี้ได้ทำลายความฝันที่จะเป็น DSP ของเขา เขาเดินเตร่ไปตามถนนจนกระทั่งเกือบจะหมดสติ แต่เจ้าของโรงแรมในท้องถิ่นใกล้กับสถานีรถไฟท้องถิ่นได้ป้อนอาหารเขา ที่นั่นเขาได้พบกับ Pritam Pandey ซึ่งมาเพื่ออ่านหนังสือสอบ PSC เช่นกัน พ่อของ Pandey โทรหาเขาและบอกให้เขาเตรียมตัวสอบ UPSC ในเดลี Manoj ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ UPSC และเดินทางไปเดลีกับ Pritam เพื่อเรียนและเป็นเจ้าหน้าที่ IPS เขาได้พบกับ Gauri Bhaiya เพื่อนร่วมอุดมการณ์ในการสอบครั้งสุดท้ายของเขาเพื่อผ่านการสอบ ซึ่งให้ที่ทำงานและสถานที่สำหรับการศึกษาแก่ Manoj Gauri Bhaiya ไม่สามารถผ่านการสอบครั้งสุดท้ายได้ จึงเปิดร้านน้ำชาชื่อ “Restart” และให้คำแนะนำแก่ผู้สอบ UPSC คนอื่นๆ
ในการสอบครั้งแรก Manoj สอบไม่ผ่าน แต่ด้วยความช่วยเหลือของ Gauri เขากลับมาอีกครั้งและผ่านการสอบได้ในปีต่อมา ในระหว่างการเยี่ยมชมศูนย์ฝึกสอน เขาได้พบกับ Shraddha Joshi ผู้เข้าสอบ UKPSC และตกหลุมรักเธอ เธอคิดว่าเขาเป็นวิศวกรการบิน และเขาไม่ได้ชี้แจงว่าเขาจบการศึกษาสาขาวรรณคดี แม้จะทำงานหนัก Manoj ก็สอบไม่ผ่านในปีนั้น ความสัมพันธ์ของเขากับ Shraddha ก็แย่ลงเมื่อเธอรู้ถึงการหลอกลวงของเขา Manoj ท้อแท้ใจ จึงเดินทางไปที่เมือง Mussoorie เพื่อขอโทษ Shraddha และสารภาพรักกับเขา เธอแนะนำให้เขากลับไปเดลีและเตรียมตัวต่อไป แต่กลับกัน มาโนจกลับไปบ้านของเขาและพบว่าคุณยายของเขาเสียชีวิตไปแล้ว เขาจึงกลับไปเดลีโดยตั้งใจว่าจะสอบผ่านให้ได้
ด้วยความหงุดหงิด กาวรีจึงย้ายมาโนจไปที่บ้านของเขาเอง และบอกให้เขาเลิกทำอาชีพพิเศษและตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่ ในที่สุดเขาก็ผ่านการสอบหลักได้ ในขณะที่ศรัดธาผ่านการสอบ UKPSC เช่นกัน เพื่อที่จะได้เป็นรองเจ้าพนักงานเก็บภาษี ในขณะเดียวกัน ปริตัม ซึ่งสอบตก ได้แพร่ข่าวลือกับครอบครัวของศรัดธาว่าเธอไปนอนกับมาโนจ มาโนจโกรธปริตัมมาก แต่ก็รู้ว่าปริตัมอยากเป็นนักข่าวจริงๆ แต่พ่อของเขากดดันให้เขาเรียน UPSC มาโนจแนะนำให้ปริตัมยืนหยัดต่อหน้าพ่อ ในระหว่างรอบสัมภาษณ์ มาโนจตอบคำถามทุกข้ออย่างซื่อสัตย์ เขาอ่านจดหมายที่ศรัดธาเขียนและให้ไว้ก่อนการสัมภาษณ์ โดยขอให้เขาแต่งงานกับเธอ โดยไม่คำนึงถึงผลการสัมภาษณ์ สองเดือนต่อมา ผลการสัมภาษณ์ก็ประกาศออกมา โดยมาโนจได้รับยศเป็นเจ้าหน้าที่ IPS หนึ่งปีต่อมา มาโนจซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายปกครองได้พบกับตำรวจฝ่ายปกครองดูชานต์ ซิงห์ที่สถานีตำรวจในเมืองมานดซอร์เพื่อขอบคุณตำรวจฝ่ายปกครองที่ให้กำลังใจเขา มาโนจแต่งงานกับศราทธา และปริตามเริ่มทำงานเป็นนักข่าว
[/read]