เรื่องย่อ : The Break Up (2006) เตียงหัก แต่รักไม่เลิก ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี NungHD หนังเต็มเรื่อง พากย์ไทย ซับไทย ดูหนังใหม่ 2024
Gary Grobowski และ Brooke Meyers พบกันที่Wrigley Fieldระหว่าง เกมของ ทีม Chicago Cubsและเริ่มออกเดตกัน และในที่สุดก็ซื้อคอนโดมิเนียมร่วมกัน Gary ทำงานเป็นไกด์นำเที่ยวในธุรกิจครอบครัวร่วมกับพี่ชายของเขา Lupus และ Dennis Brooke เป็นผู้จัดการหอศิลป์ของ Marilyn Dean ศิลปินผู้แปลกประหลาด ความสัมพันธ์ของพวกเขามาถึงจุดแตกหักหลังจากเกิดการโต้เถียงกันมากขึ้นเรื่อยๆ บรู๊ครู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับการชื่นชม จึงวิจารณ์แกรี่ที่มองว่าตัวเองยังไม่เป็นผู้ใหญ่และไม่เต็มใจที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ แกรี่รู้สึกหงุดหงิดกับทัศนคติที่บรู๊คมองว่าตัวเองชอบควบคุมและชอบความสมบูรณ์แบบ และแสดงความปรารถนาที่จะเป็นอิสระมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อกลับถึงบ้านจากที่ทำงานและต้องการผ่อนคลาย บรู๊คเริ่มหงุดหงิดเมื่อแกรี่ไม่เสนอตัวช่วยทำความสะอาดบ้านหลังจากงานเลี้ยงอาหารค่ำที่บ้านของพวกเขา The Break Up เธอยังคงหงุดหงิดจากการทะเลาะกันที่ยังไม่คลี่คลายและรู้สึกว่าไม่มีใครเห็นคุณค่าในตัวเขา เธอจึงเลิกกับเขา (แม้ว่าเธอจะยังรักเขาอยู่ก็ตาม) บรู๊คขอคำแนะนำเรื่องความสัมพันธ์จากแอดดี้ เพื่อนของเธอ ขณะที่แกรี่พูดคุยเรื่องต่างๆ กับจอห์นนี่ เพื่อนของเขา
เนื่องจากไม่มีใครยอมย้ายออกจากคอนโด พวกเขาจึงยอมประนีประนอมกันด้วยการอยู่ร่วมกันแบบรูมเมท แต่ทั้งคู่ก็เริ่มทำตัวยั่วยุอีกฝ่ายด้วยวิธีที่ซับซ้อนมากขึ้น แกรี่ซื้อโต๊ะพูล เกลื่อนกลาดไปด้วยอาหารและขยะในคอนโด และยังจัด ปาร์ตี้ โป๊กเกอร์เปลื้องผ้ากับลูปัสและผู้หญิงอีกสองสามคน ในขณะเดียวกัน บรู๊คก็ให้แกรี่ตั้งทีมโบว์ลิ่ง “สำหรับคู่รักเท่านั้น” ของพวกเขา และเริ่มออกเดตกับผู้ชายคนอื่น พยายามทำให้แกรี่หึง เมื่อมาร์ก เพื่อนของพวกเขาและนายหน้าขายคอนโด แกรี่และบรู๊คได้รับแจ้งล่วงหน้าสองสัปดาห์ให้ย้ายออก บรู๊คเชิญแกรี่ไป คอนเสิร์ต ของ Old 97’sโดยหวังว่าเขาจะเข้าใจว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายของเธอที่จะกอบกู้ความสัมพันธ์ของพวกเขา แกรี่ตกลงที่จะพบเธอแต่ไม่เข้าใจเจตนาของบรู๊คและพลาดคอนเสิร์ต ทำให้บรู๊คเสียใจโดยไม่รู้ตัว พวกเขาทะเลาะกันเป็นครั้งสุดท้าย บรู๊คบอกว่าแกรี่ไม่เคยพยายามเท่าเทียมกับเธอ และแกรี่ก็โต้แย้งว่าบรู๊คไม่เคยชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่เธอต้องการ ต่อมา จอห์นนี่ชี้ให้เห็นว่าแกรี่เห็นแก่ตัวและห่างเหินทางอารมณ์กับบรู๊ค ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาพังทลาย
สิ่งแรกที่ผมเรียกหาหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบคือ ยาพาราซักสองเม็ดครับ (เหอ เหอ เหอ ดูหนังซะจับไข้เลยผม) The Break Up คืองี้ครับตอนแรกผมตีตั๋วดูหนังกะจะหาหนังสบายๆ ซักเรื่องดูให้มันผ่อนคลายหน่อย ก็เลือกในใจล่ะครับว่าจะดูแก๊งชะนี แต่คนที่ไปด้วยเกิดเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาก็เอากะเธอหน่อยอ้ะนะ อีกอย่างหนังมันทำเงินได้ตั้งร้อยล้าน คำชมก็ไม่เลว ก็เลยอยากลองซะหน่อย และในใจตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่า “มันต้องเป็นหนังฮาแน่ๆ” แล้วไงล่ะครับ พอดูจบเล่นเอามึนตึ่บๆ ไม่รู้เพราะหนังอย่างเดียวหรืออากาศล่ะครับ (แต่วันนั้นอากาศดีนะผมว่า) วิ่งรี่หายามากินแทบไม่ทัน นิทานเรื่องนี้ของผมสอนให้รู้ว่า ถ้าอยากดูหนังคลายเครียดล่ะก็ ควรดูหนังที่คุณมั่นใจว่ามันทำเพื่อฮาจริงๆ ครับ เพราะขืนซื้อตั๋วหย่อนตัวลงดูหนังแล้ว ท่านจะเลือกไม่ได้อีก นอกจากจะนั่งดูให้จบ (จะลุกออกมาก็กระไรครับ เงินก็เสียไปแล้วด้วย)
อ้ะ อ้ะ อ้ะ … นี่ผมเล่าประสบการณ์ทุกข์ทางกายให้ฟังก็แค่ระบายนิดหน่อย แต่ที่ผมเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะหนังไม่ดีนะครับ ก็เพราะหนังมันดีนี่แหละ ผมเลยเป็นแบบนี้น่ะ The Break-Up คือหนังที่ว่าด้วยแฟนหนุ่มสาวคู่หนึ่ง (Vince Vaughn กับ Jennifer Aniston) อยู่กินกัน แต่เกิดไปกันไม่รอด จนที่สุดก็ทะเลาะกันและตัดสินใจแยกทางกันเดิน ซึ่งก่อนจะแยกกันนั้นแต่ละรายก็ยังเข้าข่ายบ้านแตกสาแหรกยังไม่ขาดน่ะครับ แม้จะหาเรื่องกัน แต่ลึกๆ ในใจทั้งสองก็ยังมีเยื่อใย เฮ่อ แล้วจะไปกันรอดมั้ย ท่านต้องเข้าใจอารมณ์ผมครับ ตอนแรกกะดูแค่หนังสบายๆ และดูจากแนวจากตัวอย่างมันก็น่าจะสบายๆ อ้ะ คงเอาฮาประมาณว่าคู่รักกัดกันแบบสนุกๆ แสบๆ คันๆ แต่เปล่าเลยครับ แม้เรื่องจะดำเนินอย่างเบาๆ และการทะเลาะกันดูจะไปในแนวกัดกันแบบนั้น แต่เนื้อหามันก็ไม่ใช่อะไรเบาๆ เลยนะครับ เพราะยังไง๊ๆ มันก็คือการเราไปนั่งดูคนทะเลาะกันนั่นเองน่ะแหละ
ความสบายๆ ของหนังดูจะมีแค่ช่วงต้นนิดหน่อยตอนที่แกรี่ (Vaughn) ตรงเข้าไปหว่านเสน่ห์ใส่บรู๊ค (Aniston) กลางสนามกีฬา ซึ่งเธอเองก็กำลังออกเดทนัดบอดกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ด้วย ไอ้จุดนี้ก็นับว่าน่าสนล่ะครับ เพราะมันแสดงลักษณะของแกรี่เต็มๆ ว่าใจกล้าน่าด้าน มั่นใจในตัวเองสุดๆ จนบรู๊คก็อดสนใจไม่ได้ และในที่สุดก็ตกหลุมรักกัน แล้วก็อยู่ด้วยกันมาสองปี แล้วทีนี้นรกมันมาเริ่มแตกตอนนี้แหละครับ เรื่องเริ่มมาจาก แกรี่ไม่ยอมช่วยบรู๊คเตรียมโต๊ะรับแขกที่กำลังจะมาเยี่ยมบ้านเขา (ซึ่งก็คือพ่อแม่ของพวกเขาน่ะแหละ) และในที่สุด มะนาว เพียง 3 ลูกก็เป็นจุดเริ่มของจุดจบ … พวกเขาทะเลาะกันจนแตกหักและระหองระแหงกันนับแต่นั้นมา ดังนั้นขอบอกนะครับ คนที่คิดว่าจะได้ดูหนังฮาๆ ทะเลาะกันแบบต๊องๆ ล่ะผิดเรื่องแล้วครับ ไม่ใช่เลย ซึ่งถ้าท่านอยากดูแนวบ้านแตกแล้วแก้เผ็ดกันฮาๆ ผมแนะนำให้ไปขุดหนังเก่าอย่าง The War of The Roses หรือ Love Stinks! มาดูดีกว่าครับ พวกนั้นฮาแบบตั้งใจ แต่กับเรื่องนี้ผมอยากจะใช้คำว่าหนังชีวิตมากกว่า เพราะแม้จะมีความฮาอยู่ แต่ก็แทรกมาแบบผิวๆ ครับ
สาเหตุหนึ่งที่ผมมึนกบาลหลังดูจบอาจเพราะมันสมจริงมากก็ได้มั้ง ที่ว่าสมจริงคือหนังถ่ายทอดบรรยากาศการทะเลาะออกมาได้ดีครับ อันนี้ก็ต้องชมสองดารานำเลยล่ะที่ตีกันได้เนียนมาก (ไม่น่าแปลกใจที่สองคนนี้จะได้เป็นแฟนกันจริงๆ ขึ้นมาครับ) ทั้งหน้าตาท่าทาง การขุดเรื่องนี่มันใช่อ้ะ เวลาแฟนทะเลาะกันมันแบบนี้จริงๆ จะเริ่มจากเรื่องเล็กๆ ก่อน แล้วก็ค่อยๆ ขุดเรื่องเมื่อเช้ามา จากนั้นก็ขุดเรื่องอดีตสมัยปลายรัชกาลที่ 5 ตามด้วยเรื่องสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พี่แกจะขุดๆๆๆ ขึ้นมาเอาชนะกันให้ได้ครับ และส่วนมากก็จะจบลงด้วยการแยกกันเดิน ไม่ก็ปิดห้องนอนดังปัง พอดูอันนี้จบก็เข้าใจทันที นี่มันไม่เชิงหนังตลกแล้ว เพราะตอนทะเลาะนี่มันหัวเราะไม่ออกน่ะครับ แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันเครียดนะ ถ้าพูดให้ถูกก็คือ “นี่แหละ เวลาคนเป็นแฟนทะเลาะกันจริงๆ มันก็ประมาณนี้แหละ” คนที่เครียดที่สุดคือคนที่ทะเลาะกันครับ แต่พวกเราถ้าไม่ได้ตีกับเขาก็จะแค่มองห่างๆ หรือไม่ก็วิ่งไปให้ไกลๆ แต่ถึงอย่างไรการไปนั่งดูคนตีกันตลอด 100 นาที มันก็ไม่ใช่อะไรที่น่าอภิรมย์นักหรอก แล้วยิ่งลองมาย้อนนึกถึงตอนเราเจอแบบนี้บ้าง มันก็ขำแบบทั้งน้ำตาล่ะครับ
เพียงแต่หนังเรื่องนี้ … มันไม่เชิงทำออกมาเสียดสีนะ The Break Up คือมันสื่อภาพคนทะเลาะกันจัดๆ เลยอ้ะ ผมดูไปเลยอดคิดตามไม่ได้ (เลยทำให้มึนมั้ง) ครับ ดูแล้วมันเลยไม่ถึงกับสนุก เพราะมันมีฮาแทรกเล็กน้อยเท่านั้น เป้าหมายหลักจริงๆ ของหนังคือการถ่ายทอดชีวิตคู่รักคู่หนึ่งที่ทนพฤติกรรมอันสุดเอือมของอีกฝ่ายมานาน จนในที่สุดก็ถึงวันที่ต้องระเบิดอย่างที่เห็นในเรื่อง ดูไม่สนุก แต่ดีมั้ย ผมว่าดีแฮะ ดีอย่างแรกคือมันถึง ทำให้เราเห็นภาพคนทะเลาะกันแบบใกล้เคียงของจริงมากครับ คือเราจะไม่มีความสุขกับภาพที่เห็นเท่าไหร่ เพราะทุกขั้นตอนทุกเรื่องราวที่ดำเนินไปในหนังก็คือ เรากำลังเห็นขั้นตอนการเลิกกันของชายหญิงคู่หนึ่ง ใครจะสนุกผมก็ไม่ทราบล่ะครับ แต่ผมไม่ใคร่จะสนุกกับเรื่องแบบนี้หรอกครับ อันนี้เลยต้องชมว่าหนังทำได้ถึง ไม่งั้นผมคงไม่มึนหรอก ดีต่อมาคือ มันสมจริง การตีกันนี่ใช่ครับ เชื่อมั้ยครับ ส่วนมากเวลาทะเลาะกันมันเริ่มจะอะไรเล็กๆ อย่าง ซื้อของมาไม่ถูกใจ เป็นอะไรหยั่งงี้ทั้งนั้น อย่างในเรื่อง เรื่องเกิดเพราะแกรี่ซื้อมะนาวแค่ 3 ลูกแทนที่จะเป็น 12 ลูกซึ่งบรู๊คก็เลยบ่นว่าทำไมไม่ซื้อมา 12 ล่ะ พระเอกก็อ้างข้างๆ คูๆ ไป … ด้วยเหตุผลของตนเอง ต่อมานางเอกเลยพยายามเปลี่ยนเป็นขอแรงแกรี่ให้ช่วยจัดโต๊ะที แกรี่ก็บอกว่าเหนื่อย … เหตุผลของตัวเอง นี่แหละครับรากเหง้าของปัญหาชีวิตคู่ … ก็เล่นเอาเหตุผลของตัวเอง มาคุยกันอ้ะ
มันน่าหงุดหงิดมากเมื่อสตูดิโอหลอกคุณด้วยการขายภาพยนตร์โดยมองว่ามันไม่ใช่ The Break-Up ไม่ใช่หนังตลกที่ตลกได้ทุกนาทีของเรื่อง He said/she said มันไม่ใช่การต่อสู้แบบเล่นๆ ระหว่างเพศอย่างที่ Peyton Reed เคยสร้างไว้ก่อนหน้านี้อย่าง Down With Love อย่างไรก็ตาม มันเป็นหนังที่สนุกสนาน (อาจไม่ใช่คำที่ถูกต้อง) เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เราไม่ค่อยได้เห็นในหนังตลกแนวโรแมนติก การเน้นที่ด้านที่น่าเกลียดของการออกเดทเป็นงานที่เสี่ยง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงเข้าใจได้ที่สตูดิโอจะพยายามขาย “ความตลก” ของความไม่เข้ากัน แต่การทำเช่นนี้ทำให้ตัวอย่างภาพยนตร์ดูด้อยค่าลงอย่างมาก
วอห์นและอนิสตันแสดงได้อย่างแข็งแกร่งและน่าเชื่อถือในบทบาทคู่รักที่กำลังอยู่ในวิกฤต The Break Up แรงดึงดูดและเคมีของทั้งคู่นั้นเหมาะสมตรงที่คุณสามารถเห็นทั้งสองคนกำลังมีความสัมพันธ์กันแต่ไม่ได้ผูกพันกันจริงๆ ไม่มีใครคู่ควรกับอีกฝ่าย เพราะทั้งคู่ต่างก็แสดงข้อบกพร่องที่เลวร้ายที่สุดออกมาเมื่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่แย่ลง นักแสดงสมทบที่แข็งแกร่งรับบทเป็นเพื่อนของพวกเขาที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ตลกดีและบางครั้งก็มีการปล้นกันอย่างน่าขัน Reed ทำได้ดีในการถ่ายทอดอารมณ์ได้ดี แม้ว่าการสลับไปมาระหว่างตลกและดราม่าอาจจะดูขัดหูขัดตาไปบ้าง ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามจะจัดการกับการเลิกราของคู่รักอย่างสมจริง แต่กลับพบความจริงในบทสนทนามากกว่าการกระทำของตัวละคร ปฏิกิริยาที่จริงใจบางอย่างออกมาจากปากของคู่รักที่เจ็บปวดและสับสนในการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง แต่การตอบสนองที่เกินจริงของพวกเขาด้วยการซื้อของราคาแพงและโยนชีวิตและร่างกายที่หามาอย่างยากลำบากทิ้งไปโดยไม่ได้คิดตามนั้นดูไม่สมจริงและดูเหมือนสร้างขึ้นในฮอลลีวูดมากกว่า ถึงกระนั้น ในท้ายที่สุด ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ดูน่าเชื่อถือและน่าสนใจโดยไม่มีตัวอย่างในโรงภาพยนตร์ที่เข้าใจผิดและความรักในชีวิตจริง (และการเลิกรากันก่อนหน้านี้) ของนักแสดงนำทั้งสองคน เพียงแค่คาดหวังว่าจะมีเสียงกรี๊ดมากกว่าเสียงหัวเราะ
The Life List (2025) รายการชีวิต
Leap Year (2010) รักแท้แพ้ทางกิ๊ก
...โปรดรอสักครู่...