เรื่องย่อ : Son of Saul (2015) ซันออฟซาอู ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี NungHD หนังเต็มเรื่อง พากย์ไทย ซับไทย ดูหนังใหม่ 2024
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1944 ซอล ออสแลนเดอร์ นักโทษ ชาวยิว-ฮังการีทำงานเป็นหน่วยSonderkommandoที่ห้องรมแก๊สในออชวิทซ์เขาทำงานอย่างอดทน ดูเหมือนจะชาชินกับความโหดร้ายที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ท่ามกลางผู้เสียชีวิตหลังการรมแก๊ส ซอลเห็นเด็กชายที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งถูกแพทย์นาซีสั่งให้ทำการชันสูตรพลิกศพ Son of Saul ซอลนำร่างไปหามิกลอส นีซลีนักโทษชาวฮังการีคนหนึ่งและผู้ช่วยบังคับของโจเซฟ เมงเกเลและขอให้เขาอย่าหั่นศพเด็กชายเพื่อที่เขาจะได้ฝังศพตามแบบชาวยิว มิกลอสปฏิเสธ แต่บอกว่าคืนนั้นเขาสามารถอยู่กับเด็กชายเพียงลำพังได้ห้านาทีก่อนการเผาศพ ซอลขอให้แรบบีแฟรงเคิลช่วยประกอบพิธีศพ แต่แรบบีไล่เขาออกไปและแนะนำให้ซอลเป็นผู้ประกอบพิธีฝังศพเอง ซอลได้ยินเจ้าหน้าที่หน่วยคอมมานโดอับราฮัมพูดคุยถึงการลุกฮือกับบีเดอร์ แมน โอเบอร์ คาโป เบียเดอร์แมนต้องการถ่ายภาพความสยองขวัญของค่ายโดยใช้กล้องที่รวบรวมมาจากคนตายก่อน จากนั้นจึง ลักลอบนำ ภาพ เหล่านั้น ออกไปข้างนอกเพื่อดึงดูดความสนใจและความช่วยเหลือ
อับราฮัมบอกซอลเกี่ยวกับ “ผู้ทรยศ” ซึ่งเป็นแรบไบชาวกรีกที่สูญเสียศรัทธาไป ซอลเสนอความช่วยเหลือในแผนของพวกเขาเป็นการตอบแทน เขาแสร้งทำเป็นซ่อมกุญแจกระท่อม ในขณะที่เพื่อนนักโทษแอบเข้าไปข้างในและถ่ายภาพการเผาศพในหลุมไฟ ซอลแอบเข้าไปใน หน่วย Sonderkommando อีกหน่วยหนึ่ง และพบ Renegade อยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำซึ่งมีการทิ้งเถ้ากระดูกลงในแม่น้ำ Renegade ปฏิเสธที่จะช่วย ซอลจึงโยนพลั่วของชายคนนั้นลงไปในน้ำ แรบไบกระโดดลงไปในแม่น้ำ แต่ซอลดึงเขาขึ้นมาได้ จากนั้นทั้งคู่ก็ถูกนำตัวไปหาผู้บังคับบัญชาหน่วย SS ของหน่วย หลังจากสอบปากคำ Renegade ก็ถูกประหารชีวิต และซอลได้รับอนุญาตให้กลับไปที่หน่วย เมื่อกลับมาที่ค่าย ซอลแอบเข้าไปในสำนักงานของ Miklós แต่ไม่พบศพของเด็กชาย ก่อนจะถูกเยาะเย้ยและไล่ออกจากห้องโดยกลุ่มเจ้าหน้าที่นาซี เขาเผชิญหน้ากับ Miklós ซึ่งรับรองกับเขาว่าศพถูกซ่อนไว้เพื่อความปลอดภัย ซอลพบศพและนำศพกลับไปที่ค่ายทหารของเขาในกระสอบ
หนังฮังการี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวเต็งออสการ์ สาขาหนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมของปีนี้ หลังจากที่หนังกวาดรางวัลมาแล้วนับไม่ถ้วน ซึ่งรวมถึงรางวัล Grand Prix ที่คานส์ และ รางวัลลูกโลกทองคำ ที่ผ่านมา ตัวหนังเล่าถึง ซอล นักโทษยิวที่ถูกมอบหมายให้ทำงานในหน่วย Sonderkommander ซึ่งมีหน้าที่จัดการกับศพของชาวยิวด้วยกันที่ถูกฆ่าตายในห้องรมแก๊สที่ค่ายกักกัน Auschwitz อยู่มาวันหนึ่ง ซอล ได้พบเด็กชายคนหนึ่งที่รอดจากห้องรมแก๊สมาได้ แต่ก็สิ้นใจในเวลาต่อมา และมันก็ทำให้ซอลทำทุกวิถีทางเพื่อจัดพิธีศพให้กับเด็กชายอย่างถูกต้องตามหลักศาสนา โดยซอลบอกกับทุกคนว่า เด็กคนนั้นคือลูกชายของเขาเอง แม้ว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว จะถูกสร้างเป็นหนังมานับไม่ถ้วน แต่ Son of Saul ก็สามารถหามุมมองใหม่ๆ ในเรื่องเดิมๆ ออกมาเล่าได้อย่างน่าสนใจ ด้วยการเชื่อมโยงเข้าไปสู่เรื่องของศรัทธาในศาสนาได้อย่างลึกซึ้ง หลายคนในค่ายกักกันไม่เชื่อว่าเด็กคนนี้คือลูกชายของซอลจริงๆ และมองว่า การที่เขาพยายามที่จะจัดพิธีศพในสถานการณ์ที่หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้เป็นเรื่องแปลก
เพราะมันต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่ไม่คุ้มค่ากัน แต่ถ้ามองอีกมุม ในสถานการณ์ที่น่าสิ้นหวังที่สุด การยึดมั่นต่อศรัทธาของตัวเอง แบบที่ซอลทำ ก็อาจจะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลยิ่งกว่า การพยายามยืดชีวิตตัวเองออกไปแค่ไม่กี่วัน หรือบางทีก็แค่ไม่กี่ชั่วโมง เหมือนที่คนอื่นในค่ายกักกันพยายามทำกันก็ได้ จุดเด่นอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้ก็คือ งานด้านภาพ ซึ่งถ่ายด้วยฟิล์ม 35 มม ในสัดส่วนภาพ 1.375 ต่อ 1 แบบหนังยุคเก่า และการถ่ายภาพด้วยโฟกัสที่ตื้นมากๆ ซึ่งทำให้ ภาพ background ของทุกอย่างที่อยู่ไกลตัวซอลออกไปนั้นเบลอร์ไปจนแทบมองไม่เห็น ประโยชน์ของการถ่ายภาพแบบนี้ก็คือการช่วยลดดีกรีความสยดสยองในค่ายกักกัน ด้วยการให้คนดูได้เห็นมันในแบบเบลอร์ๆ นอกจากนี้ มันยังอาจจะสื่อถึง สภาพจิตใจ ของซอลเองที่พยายามจะ ‘ปิดกั้นตัวเอง’ จากความโหดร้ายที่เขาต้องพบเจออยู่ทุกวัน Son of Saul นั้นอาจจะไม่ใช่หนังประเภทที่ให้ความบันเทิงเท่าไหร่ และการถ่ายภาพแบบเบลอร์ๆ ที่ว่านี้ก็ทำให้หนังอึดอัดอยู่พอสมควรทีเดียว แต่ถ้าใครเป็นคอหนังหนักๆ ที่ต้องขบคิดตีความเยอะๆ เรื่องนี้ก็เป็นหนังคุณภาพอีกเรื่องหนึ่งที่อยากแนะนำครับ
ไม่เคยรู้มาก่อนว่าในค่ายกักกันเอาชวิทซ์ของนาซีที่ไว้รมแก๊สฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวจะมีหน่วย Sonderkommando ซึ่งเป็นชาวยิวคอยทำหน้าที่กวาดล้างเก็บขนย้ายศพชาวยิวด้วยกันไปเผา ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าสภาพข้างในเป็นยังไงถ้าไม่ได้มาดู Son of Saul หนังที่ผู้รอดชีวิตจากหน่วย Sonderkommando เองยังกล่าวยกย่องที่หนังสามารถถ่ายทอดบรรยากาศและความรู้สึกได้สมจริง แม้กระทั่งคนทำสารคดีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวและนักประวัติศาสตร์เองก็ล้วนยกย่องสิ่งที่หนังถ่ายทอดออกมา ตรงนี้แหละที่ทำให้เราสามารถดู Son of Saul แบบเปิดรับทุกสิ่งในจอโดยเชื่อว่าทั้งหมดคือความจริง หนังเล่าถึงค่ายกักกันเอาชวิทซ์ปี 1944 ‘ซอล’ เป็นหนึ่งในหน่วย Sonderkommando คอยทำหน้าที่เก็บศพชาวยิวหลังจากเข้าห้องรมแก๊ส แต่แล้วการทำหน้าที่ได้ทำให้เขาพบศพเด็กคนหนึ่งที่เขาบอกว่าเป็นลูกของเขาเอง เขาจึงวุ่นวายอยู่กับการหาแร็บไบมาทำหน้าที่ฝังศพลูกชายในขณะที่เพื่อนเชลยด้วยกันกำลังวุ่นวายกับการวางแผนแหกค่ายกักกัน
สิ่งที่ชอบมาก ๆ อย่างแรกเลยคืองานภาพที่โคตรชวนให้รู้สึกอึดอัด โดยหนังเลือกใช้ขนาดภาพ 1.37 : 1 (สัดส่วน 4:3 เหมือนดูโทรทัศน์สมัยเก่า) และยังเลือกจะโฟกัสภาพระยะใกล้ทำให้รู้สึกคับแคบอึดอัดตลอดเวลา ตลอดทั้งเรื่องแทบจะเป็นการจับอารมณ์บนใบหน้าของตัวเอกโดยมีพื้นหลังเป็นความโหดร้ายของสงครามที่คอยหลบมุมให้เห็นเบลอ ๆ บนจอเพียงเล็กน้อยแต่ยังคงเห็นความรุนแรงอย่างเด่นชัด ซึ่งเป็นจุดเด่นของหนังที่ไม่ได้มุ่งเน้นเมโลดราม่าบิ๊วอารมณ์คนดูให้รู้สึกหดหู่หนัก ๆ อีกทั้งยังมาในรูปแบบ long take หลายช็อตต่อกันซึ่งช่วยในแง่การตรึงคนดูให้รู้สึกเสมือนอยู่ในเหตุการณ์ ดังนั้นบอกเลยว่าแค่ดูงานกำกับภาพของก็คุ้มค่ามาก ๆ แล้ว เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างจากการดูหนังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวเรื่องอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด
ประการต่อมาที่ชอบคือการพาคนดูสำรวจซอกมุมต่าง ๆ ของค่ายกักกันเอาชวิทซ์ที่ใช้รมแก๊สชาวยิว ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องโหยหวนของชาวยิวนับพันในห้องรมแก๊ส, สภาพศพที่ถูกเปลือยกายลากถูไปกับพื้น, การต่อรองผลประโยชน์เพื่อต่ออายุตัวเองในค่ายกักกัน ซึ่งบรรยากาศในค่ายมันให้ความรู้สึกว่าหน่วย Sonderkommando ทั้งหลายไม่ต่างอะไรจากหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่เก็บกวาดซากศพเผ่าพันธุ์เดียวกันโดยไร้ความรู้สึก แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้ยินยอมจะก้มหัวให้นาซีตลอดไป พวกเขายังคงเฝ้ารอเวลาที่จะลุกฮือรวมตัวกันต่อสู้กับผู้คุมค่ายกักกันแห่งนี้ ในช่วงต้นเรื่องเราอาจจะเห็น ‘ซอล’ เป็นวิญญาณที่ดำรงอยู่แบบปล่อยวางจากทุกสิ่งในค่ายกักกัน จนกระทั่งได้เจอเด็กที่เขาอ้างว่าเป็นลูกชายนั่นแหละที่เหมือนได้ความเป็นมนุษย์กลับคืนมา เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการหาแร็บไบมาทำพิธีฝังศพจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญของเขาทันที ซึ่งตัวเราดูแล้วอาจจะรู้สึกรำคาญภารกิจตามหาแร็บไบในค่ายกักกันพอสมควร แต่ถ้ามองในมุมของตัวละครที่ได้ความเป็นมนุษย์กลับคืนมาก็อาจจะสมเหตุสมผลอยู่ก็เป็นได้
ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นแบบหลุดโฟกัสโดยสิ้นเชิง ผู้ชมเห็นเพียงรูปร่างที่คลุมเครือเคลื่อนไหวไปมา นี่เป็นข้อผิดพลาดทางเทคนิคหรือการทดลองที่ผิดพลาดกันแน่ ไม่มีอะไรแบบนั้นเลย หลังจากนั้นไม่นาน ใบหน้าของตัวละครหลักอย่างซอล ออสแลนเดอร์ก็เคลื่อนเข้ามาใกล้กล้องและโฟกัสได้ และยังคงเป็นเช่นนั้น ในช่วงไม่กี่นาทีแรก กล้องยังคงอยู่ในระยะ 50 เซนติเมตรจากใบหน้าของซอล หรือฉันควรพูดว่า: หัวของซอล เพราะบางครั้งเราเห็นแค่ด้านข้างหรือด้านหลังของศีรษะเท่านั้น เอฟเฟกต์ของการถ่ายทำแบบนี้ถือว่าน่าตื่นตาตื่นใจมาก มีสิ่งต่างๆ มากมายเกิดขึ้นรอบตัวซอล ไม่นานเราก็ได้รู้ว่าเป็นเรื่องเลวร้าย แต่เราไม่เคยได้เห็นพวกมันใกล้ๆ เราเห็นเพียงรูปร่างที่หลุดโฟกัสที่ขอบสุดของหน้าจอ และได้ยินเสียง และเรายังคงเห็นใบหน้าของเขาในโฟกัส เขาเคลื่อนไหว ทำงาน ทำสิ่งต่างๆ และตลอดเวลาที่เราเห็นเพียงใบหน้าของเขา ไม่นานเราก็เข้าใจว่าเขาอยู่ที่ไหน: ในค่ายกักกันของนาซี ซอลเป็นสมาชิกของ Sonderkommando ซึ่งเป็นกลุ่มชาวยิวที่ได้รับการยกเว้นจากความตายชั่วคราวเพื่อทำหน้าที่ที่ชาวเยอรมันไม่ต้องการทำ ท่ามกลางความโหดร้ายที่เลวร้าย ภารกิจของเขาคือการฝังศพเด็กชายที่เขาเชื่อว่าเป็นลูกชายของเขา
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความพิเศษตรงที่แสดงให้เห็นค่ายกักกันในสิ่งที่เป็นอยู่ นั่นก็คือ นรกบนดิน ศพเปลือยที่ถูกดึงไปมา ผู้คนสิ้นหวังถูกยิงแบบไม่เลือกหน้า การขาดซึ่งสิ่งที่มนุษยชาติต้องการอย่างแท้จริง การสูญเสียศักดิ์ศรีโดยสิ้นเชิงนี้เองที่ผลักดันซอลให้พยายามอย่างสิ้นหวังในการหาวิธีจัดการฝังศพเด็กชายที่เสียชีวิตอย่างเหมาะสม Son of Saul เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับภาพยนตร์ Holocaust เรื่องยิ่งใหญ่เรื่องอื่นอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ Schindler’s List แม้ว่าภาพยนตร์ของสปีลเบิร์กจะสร้างขึ้นตามกฎเกณฑ์ทั้งหมดของการสร้างภาพยนตร์ที่ดี แต่ กลับเป็นภาพยนตร์ที่สร้างความอึดอัด โดยไม่มีการประนีประนอมใดๆ ต่อความดึงดูดใจในเชิงพาณิชย์ บทสนทนาส่วนใหญ่มักจะฟังยากจะเข้าใจ พูดเป็นสามภาษา บางครั้งก็ไม่ดังกว่าเสียงกระซิบ การกระทำและเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ชัดเจน และหลังจากนั้นสักพักคุณก็จะเข้าใจว่าอะไรเป็นแรงผลักดันของซอล นี่เป็นประสบการณ์การชมภาพยนตร์ที่ไม่เหมือนใครและเข้มข้น เมื่อคุณไปดู อย่าคาดหวังว่าจะได้พบกับเรื่องราวที่ครบเครื่องด้วยฮีโร่และผู้ร้ายและตอนจบที่สวยงาม แต่ให้คาดหวังว่าจะรู้สึกประทับใจไปกับมัน
Taking Chance (2009) ด้วยเกียรติ แด่วีรบุรุษ
Macbeth (2015) แม็คเบท เปิดศึกแค้น ปิดตำนานเลือด
The Messenger The Story of Joan of Arc (1999) วีรสตรีเหล็ก หัวใจทมิฬ
...โปรดรอสักครู่...